วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553
YAMADA SAMURAI AYOTHAYA
ซามูไรอโยธยา (YAMADA) หลังจากที่ฉันได้ไปชมภาพยนต์เรื่องนี้รอบสื่อมวลชนที่ผ่านมาแล้ว ก็ตั้งใจไว้ว่าจะต้องหาเวลาไปดูซ้ำให้ได้อีกซัก 3 รอบ (จนมาถึงวันนี้ ก็ 4 รอบแล้วค่ะ) เพราะว่าฉากแต่ละฉากสวยงามมาก สมจริง แอ็คชั่นเร้าใจ เล่นจริง เจ็บจริง เก็บรายละเอียดได้ดีมากทุกฉาก มีคำพูดคม ๆ แฝงไว้ในเรื่องโดยตลอด มีทั้งแอ็คชั่นและดราม่า คุ้มค่าจริง ๆ ค่ะ การถ่ายทำก็ละเอียด เดินเรื่องไม่สับสน ทุก ๆ ฝ่ายทุ่มเทในการทำงานอย่างจริงจัง ทั้งเบื้องหลัง และนักแสดง
เรียกว่ายอมเล่นจริง เจ็บจริงกันเลยทีเดียว โดยเฉพาะพระเอกของเรื่อง ท่านยามาดะ นางามาสะ ซึ่งสวมบทบาทโดยนายแบบหนุ่มหน้าใสจากแดนอาทิตย์อุทัย Seigi Ozeki ซึ่งฝากผลงานให้พวกเราได้ยลโฉมกันมาแล้วใน คู่กรรม เดอะมิวสิคัล , คู่แรด และนอกจากนี้ยังมีมิวสิควิดีโอ ฯลฯ Seigi ทุ่มเทกับภาพยนต์เรื่องนี้เป็นอย่างมาก ตั้งใจที่จะเปิดเผยตัวตนของท่านยามาดะอย่างเต็มที่ ทั้งซ้อมมวยไทย ตั้งใจพูดภาษาไทยให้ชัดที่สุด ฝึกการออกเสียงทั้งตัว ร , ล และตัวควบกล้ำ ถึงแม้ว่าจะยังฟังดูแปร่ง ๆ ไปบ้าง แต่เทียบกับความตั้งใจแล้วเอาคะแนนเต็มไปเลยค่ะ ยังไม่รวมถึงที่บาดเจ็บระหว่างถ่ายทำ เรียกว่า Seigi - san มีแรง มีฝีมือเท่าไหร่งัดออกมาแสดงอย่างเต็มที่แหละค่า
หลังจากที่ชมภาพยนต์เรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก อยากบอกว่าไม่เบื่อเลยค่ะ ยิ่งดูยิ่งรักเมืองไทย โดยส่วนตัวแล้วฉันชอบภาพยนต์แนวนี้มาก ไม่ว่าจะเป็น สุริโยทัย , ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช , พระเจ้าตากสิน หรือแม้แต่ละครทีวีเรื่องทวิภพ มันทำให้ฉันนึกอยู่เสมอว่าถ้าคนไทยไม่สามัคคีกัน แก่งแย่งกันเป็นใหญ่ จะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศของเรา ที่ผ่านมาเราเจ็บช้ำมามากกับการเสียดินแดน ไม่ว่าจะเป็นยุคไหนก็ตาม ความเจ็บปวดจากการเสียดินแดนนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง ความรู้สึกที่จะต้องเป็นทาส เป็นเชลย ไม่ได้เจ็บปวดแค่ร่างกาย แต่มันเจ็บปวด ร้าวรานในจิตใจที่ถูกเหยียบย่ำจนศักดิ์ศรีความเป็นคนไม่มีเหลือ เราคงไม่อยากเห็นประเทศไทยในปัจจุบันเป็นแบบเดียวกับในอดีต เพราะฉะนั้นพวกเราต้องช่วยกัน รักและสามัคคีกันเพื่อนำพาประเทศไทยให้อยู่รอดต่อไป เหมือนกับท่านยามาดะ ที่มีความรักในแผ่นดินไทยจนฝากชีวิต ฝากร่างกายและจิตใจไว้ที่เมืองไทยค่ะ
วันพฤหัสบดีที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2553
YAMADA ซามูไร อโยธยา หนังดีที่น่าติดตาม
เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2553 ฉันได้มีโอกาสไปชมภาพยนต์ YAMADA ซามูไร อโยธยา รอบสื่อมวลชน ที่สยามพารากอน โดยภายในงานจัดให้มีการสัมภาษณ์นักแสดงบนเวที พร้อมทั้งจัดโชว์ศิลปะมวยไทย พร้อมทั้งจัดของว่าง ประกอบด้วย ซูชิ ข้าวยำทอด โดรายากิไส้ถั่วแดง ลูกชุบ และน้ำดื่มไว้ให้บริการแก่สื่อมวลชนและผู้เข้าร่วมงาน บรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคัก สื่อมวลชนพร้อมทั้งนักแสดงนำ ผู้กำกับภาพยนต์ และผู้มีเกียรติเข้าร่วมงานกันอย่างคับคั่ง แต่ฉันไม่ทราบว่าทางสยามพารากอนจะเปิดเครื่องปรับอากาศเบาไป หรือว่าเพราะจำนวนผู้ที่มาร่วมงานมีมากมาย จนทำให้อากาศร้อนพอสมควร (Seigi โพสต์ท่าถ่ายรูปไปก็ซับเหงื่อไปพลาง แถมยังแอบกระซิบถามฉันอีกต่างหากว่าร้อนมั้ย 555+ ฉันก็ตอบว่าร้อนเหมือนกันแหละ ก็มันร้อนนี่หว่า สภาพเช็ดเหงื่อไม่ต่างกันหรอก) เมื่อให้สัมภาษณ์และถ่ายภาพกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาเข้าชมภาพยนต์กันตอน 20.30 น. ฉันมีความรู้สึกว่า ภาพยนต์เรื่องนี้ทำให้ฉันรักในบ้านเกิดเมืองนอน และศัทราในคำว่า เพื่อนขึ้นอีกมากมาย ฉันรู้สึกขอบคุณภาพยนต์เรื่องนี้มากที่นำมาฉายได้ถูกจังหวะเวลา ในช่วงที่ประชาชนชาวไทยแบ่งเป็นสี แบ่งเป็นมาตรฐาน และเนื่องจากฉันได้ติดตามและรับรู้ถึงเบื้องหลังการถ่ายทำภาพยนต์เรื่องนี้มาพอสมควร จึงทราบถึงความยากลำบากในการถ่ายทำ อุปสรรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ความทุ่มเทแรงกาย แรงใจของทีมงานและนักแสดงทุก ๆ ชีวิต ขอบคุณพี่มด นพพร วาทิน ผู้กำกับผู้ทุ่มเท ขอบคุณ Seigi Ozeki พยายามเป็นอย่างยิ่ง ทุ่มเท มานะ บากบั่น เพื่อให้ผลงานออกมาดีที่สุด ขอบคุณนักแสดงทุกท่านที่ฝากฝีมือไว้กับภาพยนต์เรื่องนี้อย่างเต็มที่ ขอบคุณทีมงานทุก ๆ คน ที่สร้างสรรค์ผลงานให้พวกเราได้ยลโฉมกัน YAMADA ซามูไร อโยธยา ฉายแล้วที่โรงภาพยนต์วันนี้ (2 ธ.ค. 53) เชิญเพื่อน ๆ ทุกท่านไปชมความยิ่งใหญ่ของภาพยนต์เรื่องนี้กันนะคะ
YAMADA ซามูไร อโยธยา นำแสดงโดย Seigi Ozeki ธรรมรส ใจชื่น บัวขาว ป. ประมุข สรพงษ์ ชาตรี และนักแสดงสมทบอีกคับคั่ง กำกับการแสดงโดย นพพร วาทิน
ขอบคุณภาพจากทีมงานมหากาพย์ค่ะ
วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
โศกนาฏกรรมบนท้องถนน
ด้วยความที่ฉันเป็นคนหนึ่งที่ต้องใช้รถใช้ถนนอยู่เป็นประจำ และก็ต้องมาทำงานแต่เช้า ทำให้ได้เห็นอะไรหลาย ๆ อย่างที่เกิดบนท้องถนน โดยเฉพาะโศกนาฏกรรม ใช่ค่ะ ระหว่างทางที่มาทำงานจะต้องพบซากสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เล็กหรือว่าสัตว์ใหญ่ เช่น สุนัข แมว นก เต่า ตัวเงินตัวทอง ฯลฯ ขอย้ำนะคะว่ามีทุกขนาด ตั้งแต่เล็กมาก ๆ ไปจนถึงใหญ่มากเช่นกัน ก็เข้าใจนะคะว่าในหลาย ๆ ครั้งของผู้ขับรถมันกระทันหันจริง ๆ ไม่สามารถทำอะไรได้ดีไปกว่านั้นแล้ว อันนั้นก็อโหสิค่ะ แต่หลาย ๆ ท่านที่ชื่นชอบความเร็ว ความแรงแบบไม่เกรงใจใคร ไม่สนใจใคร ถนนนี้เป็นของข้าเท่านั้น ขอร้องเถอะค่ะ ลดความเร็วลงหน่อยได้มั้ยคะ ถึงแม้ว่าพวกเค้าจะเป็นสัตว์ แต่เค้าก็มีชีวิตนะคะ มีหัวใจ เจ็บเป็นเหมือนท่านแหละค่ะ ที่สำคัญ เค้ารักชีวิตของเค้าเหมือนกันนะคะ ถ้าหากว่าสิ่งที่คุณชนหรือว่าทับไม่ใช่สัตว์ตัวนึงล่ะคะ แต่เป็นคน เป็นเด็ก เป็นคนชรา หรือเป็นคนในครอบครัว หรือคนใกล้ตัวคุณ คุณจะรู้สึกยังไงคะ คุณจะนึกเหมือนที่คุณขับรถชนหรือทับสัตว์หรือเปล่าว่า ช่วยไม่ได้ อยากมาขวางทางเอง หรือว่า สมน้ำหน้า นี่ไม่ใช่ที่ของมึงซักหน่อย อย่าลืมนะคะว่าพวกเค้าอาศัยอยู่มาก่อนเรา มนุษย์ต่างหากที่รุกล้ำเข้าไปในที่ของเค้า อาศัยอยู่ร่วมกันแบบถ้อยทีถ้อยอาศัยดีกว่านะคะ เพื่อความสุขของทุกชีวิต
วันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
ยินดีด้วยกับฑูตวัฒนธรรมไทย ประจำปี 2554
เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2553 เวลา 14.00 น. ณ โรงละครแห่งชาติ (โรงเล็ก) ได้มีการเปิดตัวภาพยนต์อิงประวัติศาสตร์ เรื่อง ซามูไรอโยธยา (Yamada The Samurai Of Ayothaya) ขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยเนื้อเรื่องเกี่ยวกับชาวญี่ปุ่นท่านหนึ่ง คือ ท่านยามะดะ นางามาสะ ซึ่งสวมบทบาทโดย Seigi Ozeki (เซกิ โอเซกิ) ที่เข้ามาทำงานรับใช้เบื้องพระยุคลบาทของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และรักในแผ่นดินไทยยิ่งชีวิต "ถึงแม้มิใช่แผ่นดินเกิด แต่จักขอเป็นแผ่นดินตาย" มีนักแสดงนำคือ
คุณ Seigi Ozeki , คุณสรพงษ์ ชาตรี , คุณธรรมรส ใจชื่น , คุณบัวขาว ป. ประมุข , คุณวินัย ไกรบุตร และนักแสดงร่วมอีกมากมาย ซึ่งล้วนแต่ฝีมือจัดจ้านในการแสดงทั้งสิ้น
กำกับการแสดงโดย คุณนพพร วาทิน
ขอบคุณ http://www.youtube.com/ และข้อมูลจาก http://www.thaicinema.com/
และเนื่องในโอกาสนี้สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยได้แต่งตั้งให้นักแสดงนำของเรื่อง คือ คุณเซกิ โอเซกิ และ คุณบัวขาว ป. ประมุข เป็นฑูตวัฒนธรรมไทย โดยมีคุณวิฑูรย์ กรุณา อดีตดาราชั้นนำของไทยเป็นประธานในการคัดเลือก และเป็นผู้มอบประกาศเกียรติคุณอันทรงเกียรตินี้ให้กับนักแสดงทั้งสองท่าน
ขอแสดงความยินดีกับคุณเซกิ โอเซกิ และคุณบัวขาว ป. ประมุข (อีกครั้ง...หลังจากที่ร่วมแสดงความยินดีกันไปแล้วเมื่อวันที่ 9 พ.ย. 53) ที่ได้รับการคัดเลือกเป็นตัวแทนอันทรงเกียรติในครั้งนี้ โดยเฉพาะ คุณเซกิ เป็นคนต่างชาติที่มีความพยายามอย่างยิ่งที่จะเรียนรู้ภาษาไทย ศิลปะวัฒนธรรมไทย ประเพณีไทย รวมทั้งการใช้ชีวิตแบบไทย ๆ จนเดี๋ยวนี้แทบจะกลายเป็นคนไทยคนหนึ่งแล้วค่ะ คุณเซกิ มีความตั้งใจในการทำงานทุกชิ้นให้ออกมาดีที่สุด ทำงานอย่างสุดความสามารถ ยกนิ้วโป้งให้เลยค่ะ จากนี้ไปท่านฑูตทั้งสองคงจะมีภาระกิจมากมายในการเผยแพร่ และแลกเปลี่ยนศิลปะวัฒนธรรมระหว่างไทย - ญี่ปุ่น ขอให้ตั้งใจ ทำหน้าที่ให้ดีที่สุดนะคะ ฉันจะคอยเป็นกำลังใจให้ค่ะ Seigi Ozeki Fight... , คุณบัวขาว สู้ ๆ ค่ะ...^U^
วันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
ผักชีโรยหน้า


วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2553
การเลี้ยงดูลูก
เมื่อวันหยุดยาวที่ผ่านมา (23 - 25 ตุลาคม 2553) ฉันมีโอกาสไปเที่ยวกับครอบครัวของพี่ชาย และเพื่อนที่ทำงานของพี่ชายอีก 2 ครอบครัว เราไปทะเลกัน ทะเลสวย บรรยากาศดี ถึงแม้ว่าจะมีฝนตกลงมาบ้างเป็นบางครั้ง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความสนุกของเราลดลง โดยเฉพาะเด็ก ๆ งานนี้เรามีเด็กร่วมทางไปด้วย แบ่งเป็นเด็กเล็ก 4 คน (ยังไม่เข้าโรงเรียนจนถึง ป. 5) แล้วก็เด็กโต (ม.1 - ม.4) 3 คน เด็กเล็ก ๆ 4 คนยังพอเข้าใจค่ะว่าช่วยเหลือตัวเองไม่ได้มากเท่าไร ยังต้องอาศัยพ่อกับแม่ และบุคคลรอบข้างช่วยเหลือในหลาย ๆ เรื่อง แต่พวกเค้าก็พยายามจะช่วยเหลือตัวเองพอสมควร เช่น กินข้าวเอง อาบน้ำเอง ทาแป้งเอง ถึงแม้ว่าจะดูเลอะเทอะ และวุ่นวายกันอยู่พอสมควร แต่ก็สนุกดีค่ะ ส่วนเด็กโต ๆ อีก 3 คนนี่ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่นัก เพราะว่าไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกิน การจัดเสื้อผ้าแต่งตัว การขนของกินและเสื้อผ้า หรือแม้แต่การบีบและถือแปรงสีฟันเข้าห้องน้ำไปแปรงฟันยังต้องให้พ่อและแม่จัดการให้อยู่ ฉันเห็นแล้วก็เลย งง ๆ เพราะว่าเด็กเล็ก ๆ 4 คนนั้น พยายามที่จะแปรงฟันเอง (ถึงแม้ว่าจะไม่สะอาดเท่าที่ควร แต่ก็ไม่เป็นไร หลังจากที่เค้าแปรงแล้วเราก็จับเค้ามาอ้าปากแปรงใหม่ก็ได้) แต่เด็กโต 3 คนนั่นทำไมต้องให้แม่เป็นคนทำให้ แม่ช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ จัดเสื้อผ้าให้ ต้มน้ำร้อนลวกมาม่ากระป๋อง หรือโจ๊กกระป๋องให้ ลวกไส้กรอก แฮม รินน้ำให้ ยกมาให้กิน เหลืออยู่อย่างเดียวและค่ะเพื่อน ๆ ก็คือเคี้ยวให้ การเลี้ยงลูกในสมัยนี้ทำให้ลูกกลายเป็นลูกเทวดาเหมือนที่เพลงเค้าร้องจริง ๆ ค่ะ เด็กไม่ค่อยได้ช่วยเหลือตัวเองในสิ่งที่ควรจะทำได้ ทำเป็น พ่อแม่อำนวยความสะดวกให้ลูกมากจนเกินพอดี อยากได้อะไรก็ต้องตะกายหามาให้ เด็กไม่รู้จักคำว่า ไม่ได้ ไม่ค่อยเข้าใจกับคำว่า เหตุผล แล้วอย่างนี้อนาคตของเค้าจะเป็นยังไงต่อไปก็ไม่มีใครรู้ พ่อแม่ควรหัดให้ลูกรู้จักการช่วยเหลือตัวเองบ้างตามสมควร ต้องสอนให้ลูกรู้จักคำว่าผิดหวัง และปลูกฝังให้ลูกเป็นคนมีเหตุผล รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเราบ้าง ไม่ใช่ฉันชอบอย่างนี้ ฉันจะเปิดทีวีเสียงดังใครจะทำไม ยิ่งพ่อแม่ท่านใดที่ทำงาน มีหน้าที่เป็นหัวหน้า เป็นผู้บริหาร ยิ่งต้องรู้จักสอนให้ลูกเป็นคนที่เกรงใจคนตามความเหมาะสม รู้จักเข้าสังคม ให้ความช่วยเหลือผู้อื่นเท่าที่จะทำได้ ไม่ใช่ว่าลูกน้องของตัวก็ต้องเอาใจและตามใจลูกของหัวหน้าหรือผู้บริหารทุกอย่าง นั่นจะทำให้เด็กเป็นคนที่หัวสูง ไม่เห็นใจคนอื่น ไม่มีน้ำใจ และขาดคุณสมบัติที่ดีของการอยู่ร่วมกันในสังคมค่ะ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะสร้างครอบครัวให้เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข...
วันเสาร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2553
ความสุข ความทุกข์
สิ่งมีชีวิตทุกสิ่งบนโลกใบนี้ย่อมต้องการเสาะแสวงหาความสุขให้กับตนเองทั้งสิ้น บ่อยครั้งที่ความสุขที่ตนเองต้องการก็มักจะไปทำลายความสุขของผู้อื่นอยู่เสมอ นั่นคือการเบียดเบียนกัน ทำร้ายกัน เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ตนเองต้องการ เคยคิดกันบ้างไหมคะว่าการที่เราได้ความสุขมาโดยวิธีนั้นมันเป็นความสุขที่แท้จริงหรือเปล่า ความสุขที่ได้มามันจีรังยั่งยืนตลอดไปมั้ย ไม่มีใครเคยคิดถึงข้อนี้เลย ขอแค่มีความสุขทุกวัน และทั้งวันก็พอแล้ว การที่เรารู้สึกว่าเวลาแห่งความสุขสั้นนักไม่เหมือนเวลาแห่งความทุกข์ที่มันช่างยาวนานเหลือเกินนั่นก็เพราะว่าเมื่อเรามีความสุขเราก็จะเพลิดเพลินกับความสุขนั้น จนทำให้ลืมเวลา ลืมคนรอบข้าง ไม่คิดสิ่งใดทั้งสิ้นนอกจากสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข แต่เมื่อเรามีความทุกข์ เราก็จะจมอยู่กับสิ่งที่เราทุกข์ ขบคิด หาทางแก้และดับทุกข์อยู่ตลอดเวลา ทำให้ทุกข์อยู่กับเรานาน จริง ๆ แล้วใน 1 วัน เรามีทั้งสุขและทุกข์คละเคล้ากันไป ไม่มีใครที่สุขทั้งปี และไม่มีใครที่ทุกข์ทั้งชาติ นั่นคือรสชาดของชีวิต เราต้องยอมรับในสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น และผ่านเข้ามาในชีวิตอย่างมีสติ และอย่าปล่อยให้อารมณ์สุข อารมณ์ทุกข์เข้ามาเป็นนายจิตใจเรา จงใช้ชีวิตอย่างรู้เท่าทันอารมณ์ค่ะ แล้วคุณจะเห็นมุมมองที่หลากหลายในชีวิตเพิ่มขึ้น.....
วันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2553
ข้าราชการ
ในสมัยอดีต ถ้าบ้านไหนมีบุตรหลานประกอบอาชีพรับราชการแล้วล่ะก็ เป็นสิ่งที่เชิดหน้าชูตาและเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลนั้น ๆ เป็นอย่างยิ่ง นั่นหมายถึงความมีอำนาจและทรัพย์สินเงินทอง รวมทั้งข้าทาสบริวารมากมาย ในปัจจุบันก็เช่นกัน หลาย ๆ ครอบครัวยังสนับสนุนให้บุตรหลานรับราชการเพื่อความมั่นคง ใช้ทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้ได้รับราชการ เช่น ใช้เงินฝากเข้าทำงานราชการ ใช้ระบบเส้นสาย การสอบเป็นเพียงแค่ฉากบังหน้า ไม่ว่าคุณจะสอบข้อเขียนฝ่านได้ลำดับที่ดีแค่ไหน หากคุณไม่มีเงินมากพอคุณก็ไม่สามารถเป็นข้าราชการได้ ตรงกันข้าม ถ้าคุณสอบข้อเขียนได้ลำดับที่แย่มาก ๆ แต่ถ้าคุณมีเงินคุณก็สามารถเป็นข้าราชการได้ทันที ข้าราชการในสมัยนี้หลาย ๆ คนที่ยังปฏิบัติตัวแบบเช้าชามเย็นชาม เช่นข้าราชการคนหนึ่งที่ฉันจะยกตัวอย่างให้เพื่อน ๆ ทราบเค้ามาทำงาน 09.00 น. 10.00 น. ต้องไปซื้ออาหารเช้าทาน 11.00 น. ต้องไปตักบาตร ทำบุญ เนื่องมาจากหากไม่ทำเป็นประจำแล้วไซร้ ดวงในการเสี่ยงโชคก็จะไม่ดีตามไปด้วย จากนั้นก็ถือโอกาสพักเที่ยงซะเลย กลับเข้ามาทำงานอีกทีตอนบ่ายสองโมง จากนั้นบ่ายสามโมงก็เพลียมาจากการทำงานทั้งวัน ต้องนอนพักผ่อน พอ 16.00 น. ก็ตื่นขึ้นมาพอดีกับเตรียมตัวกลับบ้าน เก็บของเสร็จก็ไปเลย อันนี้ช่วงเวลาที่โรงเรียนปิดนะคะ ถ้าเป็นเวลาที่เปิดเรียนหรือเปิดเทอมแล้วล่ะก็ จะต้องไปนวดแผนโบราณที่โรงพยาบาลด้วยค่ะ กลับเข้ามาอีกทีก็ตอน 17.45 น. เพื่อที่จะเก็บของแล้วก็เตรียมเซ็นชื่อทำงานภาคธุรการ ตอน 18.30 น. แล้วก็กลับบ้าน (เวลาที่โรงเรียนเปิดจะเลิกงานตอน 18.30 น. ค่ะ ช่วงเวลาธุรการจะได้รับค่าล่วงเวลาคนละ 100 บาท) เป็นไงคะ ข้าราชการ ฉันยอมรับว่าข้าราชการไทยทุกคนไม่ได้เป็นแบบนี้ แต่ก็มีข้าราชการจำนวนไม่น้อยที่เป็นแบบนี้ค่ะ แล้วประเทศไทยจะเอาอะไรมาเจริญได้คะ ก็คุณภาพของข้าราชการเป็นแบบนี้ซะส่วนมาก เด็ก ๆ จะมีคุณภาพได้อย่างไรถ้าข้าราชการครูที่ต้องสอนพวกเขาให้มีความรู้ต้องละทิ้งเด็ก ๆ เพื่อมาทำผลงานให้ตัวเองผ่านการประเมินระดับนั้น ๆ แล้วก็ได้เงินประจำตำแหน่งเพิ่มเพื่อให้พอกับการชำระหนี้สินและรายจ่ายประจำของตนเอง ผู้บริหารโกงกินเงินหลวง ฉ้อราษฏร์บังหลวง ใช้อำนาจในทางที่ผิด สังคมของเราจะต้องเป็นแบบนี้อีกนานเท่าไหร่กันนะ...แต่ที่แน่ ๆ ฉันเริ่มไม่ศรัทธาในวงการข้าราชการเสียแล้วสิ เพื่อน ๆ ล่ะคะ คิดเช่นไร
วันอังคารที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2553
คู่กรรม เดอะ มิวสิคัล (Koogam on screen)

โดยส่วนตัวแล้วชอบนวนิยายเรื่องนี้มากมาย อ่านทีไรร้องไห้ได้ทุกครั้ง พอมาเป็นละครทีวีทางช่อง 7 นำแสดงโดยพี่เบิร์ด และน้องกวาง ก็ยังซาบซึ้งเหลือหลาย จำได้ว่าถ้าคู่กรรมเล่นเมื่อไรถนนจะว่างทันที...หุ...หุ ยิ่งตอนจบ โกโบริกำลังจะตายด้วยแล้ว แม่ค้าเลิกขายของกันเลยทีเดียวค่ะ น้ำตาท่วมจอ


แต่น่าเสียดายมาก ๆ ที่ พี่ลิง ไม่ยอมใจอ่อน นำ คู่กรรม เดอะ มิวสิคัล มาลงแผ่นให้พวกเราได้จับจองเป็นเจ้าของกัน อ้อนก็แล้ว ขู่ก็แล้ว เหลือแต่บีบคอที่ยังไม่ได้ทำ 555+ แต่ก็ไม่เป็นไรค่ะ วันเกิดของคู่กรรม เดอะ มิวสิคัลเมื่อไรก็จัดฉายให้พวกเราได้ดูกันให้หายคิดถึงก็ได้ค่ะ (จะได้ดูว่าตอนเด็ก ๆ หน้าตานักแสดงเป็นยังไง)
ประทับใจค่ะ ชอบมาก ๆ ๆ ๆ มันเป็นเรื่องราวจริง ๆ ละครเวทีเรื่องนี้ ต้องใช้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นความสามารถ ความอดทน ฮึด อึด แรงกาย แรงใจ และกำลังใจ และผลที่ได้รับกลับมาก็คือ คุ้มค่าจริง ๆ ค่ะ ขอบคุณ Dreambox ขอบคุณพี่ลิง ขอบคุณพี่ไก่ ขอบคุณ Seigi ขอบคุณ คุณน้ำมนต์ ขอบคุณทีมงานและนักแสดงทุก ๆ ท่านที่ทำให้เกิด คู่กรรม เดอะ มิวสิคัล ขึ้นมาในวันนี้ ทุกฉาก ทุกตอน ทุกเนื้อร้อง ทุกทำนอง เปี่ยมไปด้วยความพยายาม อดทน ทุ่มเทอย่างเต็มที่ ขอบคุณจากใจค่ะ
วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553
อำนาจ

วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553
ความยุติธรรม
ความยุติธรรม คำนี้และสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทุก ๆ คนต้องการ และอยากให้เกิดขึ้นในทุก ๆ สถานการณ์ ทุก ๆ สังคม ฉันอยากรู้ว่าบรรทัดฐานของความยุติธรรมอยู่ที่ไหน เรื่องราวที่ฉันพบ และผ่านเข้ามาในชีวิตนั้นให้คำตอบของบรรทัดฐานของความยุติธรรมได้แค่ว่า
ความยุติธรรมจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเราเป็นฝ่ายไหน ถ้าเราเป็นฝ่ายถูกกระทำ ความยุติธรรมที่เรียกร้องย่อมมาจากพื้นฐานความต้องการที่ตนเองอยากได้ อยากมี อยากเป็นเมื่อไม่ได้รับการสนองตอบ หรือได้รับการสนองตอบแต่ไม่ตรงกับที่ตัวเองอยากได้ก็แสดงว่าไม่ยุติธรรม
ความยุติธรรมจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเราเป็นฝ่ายไหน ถ้าเราเป็นฝ่ายถูกกระทำ ความยุติธรรมที่เรียกร้องย่อมมาจากพื้นฐานความต้องการที่ตนเองอยากได้ อยากมี อยากเป็นเมื่อไม่ได้รับการสนองตอบ หรือได้รับการสนองตอบแต่ไม่ตรงกับที่ตัวเองอยากได้ก็แสดงว่าไม่ยุติธรรม
ส่วนบรรทัดฐานของความยุติธรรมที่มาจากการที่เราเป็นฝ่ายกระทำ หรือเป็นฝ่ายให้ ย่อมมาจากความพึงพอใจที่จะให้ ฉันให้ได้แค่นี้นะ สำหรับเธอฉันให้ตั้งขนาดนี้แล้วยุติธรรมดีแล้วสำหรับเธอ เหมาะสมดีแล้ว ถ้าเธอเรียกร้องมากกว่านี้มันไม่ยุติธรรมสำหรับฉัน (ประมาณว่าฉันไม่เสียผลประโยชน์มาก) ซึ่งในความเป็นจริงแล้วฉันอยากถามว่า จริง ๆ แล้วความพอดีของความยุติธรรมมันอยู่ตรงไหนกันแน่ มันเป็นสิ่งที่ฉันยังไม่เข้าใจอยู่ดี และก็คงจะต้องค้นหาคำตอบกันต่อไปเหมือนหนังเรื่องยาวที่ยังไม่มีตอนจบ...
วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553
ละครเวทีเรื่องแรกในชีวิต
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (4ก.ย. 53) ช่วงค่ำ ๆ 19.30 น. มีโอกาสไปดูละครเวทีเรื่อง น้ำใสใจจริงเดอะมิวสิคัล โดยน้ำใสใจจริงนี้เป็นนวนิยาย ประพันธ์โดยคุณ ว.วินิจฉัยกุล จัดโดย Dreambox ที่โรงละคร M Theatre
ซึ่งมาจองบัตรไว้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน รวมทั้งมีโอกาสไปงานแถลงข่าวเปิดตัวละครเวทีเรื่องนี้มาด้วย ซึ่งถือได้ว่าละครเวทีเรื่องนี้เป็นละครเวทีเรื่องแรกที่ตัดสินใจไปดู ยอมรับว่ามีเหตุผลหลายเหตุผลที่ตัดสินใจไปดูละครเรื่องนี้
ประการแรกคือค้องการไปให้กำลังใจทีมงานและศิลปินทุก ๆ คนที่ได้ร่วมแรงร่วมใจกันจัดทำผลงานชิ้นนี้ขึ้นมา ถ้านับกันจริง ๆ รายชื่อคงจะยาวเหยียด เท่าที่พอจะนับได้ก็มีดังต่อไปนี้
1. บทละครและคำร้อง คุณดารกา วงศ์ศิริ ประการแรกคือค้องการไปให้กำลังใจทีมงานและศิลปินทุก ๆ คนที่ได้ร่วมแรงร่วมใจกันจัดทำผลงานชิ้นนี้ขึ้นมา ถ้านับกันจริง ๆ รายชื่อคงจะยาวเหยียด เท่าที่พอจะนับได้ก็มีดังต่อไปนี้
2. กำกับและประพันธ์ดนตรีโดย พี่ไก่ คุณสุธี แสงเสรีชน
3. กำกับการแสดงโดย พี่ลิง คุณสุวรรณดี จักราวรวุธ
4. พี่ ๆ ทีมงาน DB อีกมากมาย
มาดูทางฝั่งศิลปินกันบ้าง ก็มี คุณตู่ ภพธร สุนทรญาณกิจ , ปุยฝ้าย AF4 คุณณัฏฐพัชร วิพัธครตระกูล ,
คุณนรินทร ณ บางช้าง , คุณศรัณย์ ทองปาน , คุณสมพล ปิยะพงศ์ศิริ , คุณพุทธชาติ จึงไพศาล , คัตโตะ ลิปตา น้องบอย AF3 , น้องมิวสิค AF4 , น้องกู๊ด AF4 , น้องชัย , น้องเอื้อ เอื้ออาทร , แล้วก็ที่ขาดเสียไม่ได้แอร์โฮสเตสคนสวย น้องแอ๋ม รวมทั้งอีกหลาย ๆ ชีวิตที่มาร่วมเป็นหมู่มวลของน้ำใสใจจริงเดอะมิวสิคัล อีกคนก็คือน้องมังคุด (ชื่อในเรื่อง) เรียกเสียงฮาได้ไม่แพ้ใคร

หลังจากที่ได้ดูละครเรื่องนี้จนจบ บอกได้คำเดียวว่าสนุกมาก ประทับใจทุก ๆ ฉาก ที่มากที่สุดก็เห็นจะเป็นฉากที่พระเอก (โจม) พานางเอก (ครีม) ไปดูสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่งที่บ้านนอกมีเยอะแยะเลย...หุ...หุ โดยการประสานความสัมพันธ์ของ เพื่อนนางเอก (อ้อม) ซึ่งก๋ากั่นไม่ใช่เบา แล้วก็ฉากที่น้องหมาบอยขออาศัยอยู่ในหอด้วย ชอบค่ะ อธิบายเป็นคำพูดไม่ถูกเลย รู้แต่ว่าจะเสียดายมาก ๆ ถ้าไม่ได้ดู
ละครเรื่องนี้ให้อะไรหลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้นจริง ๆ ในชีวิตช่วงหนึ่งของพวกเราทุก ๆ คน ตั้งแต่เริ่มแสดงก็คือทุก ๆ คนมีพื้นฐานชีวิตที่ไม่เหมือนกัน บางคนมาจากครอบครัวที่มีพร้อม ดีพร้อม ในขณะที่บางคนมาจากครอบครัวที่ค่อนข้างขัดสน ทุก ๆ คนที่มาอยู่รวมกันในมหาวิทยาลัยฯ บ้านนอกนี้มีหลากหลายนิสัย บางคนเจ้าชู้ บางคนก๋ากั่น บางคนเรียบร้อย บางคนเอาแต่ใจ ขาวีน บางคนธรรมะธรรมโม บางคนเก็บกด อ่อนแอ บางคนต้องการความเจริญก้าวหน้าในชีวิตและหน้าที่การงาน ฯลฯ ซึ่งในชีวิตจริง ๆ เราก็เจอคนแบบนั้นเหมือนกัน สมัยเรียนเราชอบแหกกฎ ระเบียบ เริ่มมีความรักและแอบรัก กังวลว่าผลสอบจะเป็นยังไง จีบสาว (หนุ่ม) แบบไหนจึงจะดี ความชอบของแต่ละคนแตกต่างกัน แต่ทุก ๆ คนก็อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ดีกันบ้าง ทะเลาะกันบ้าง แต่ก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ดี
ละครเรื่องนี้เหมือนกระจกเงาที่สะท้อนเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาสำหรับใครหลาย ๆ คน รวมทั้งบอกถึงเรื่องราวในอนาคตที่จะเกิดขึ้นกับน้อง ๆ อีกหลาย ๆ คนที่อยู่ในวัยเรียน แต่ตอนนี้ความรู้สึกก็คือเริ่มจะรักละครเวทีซะแล้วสิเนี่ย...เรา...ขอขอบคุณทีมงานและศิลปินทุก ๆ ท่านที่ทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจอย่างสุดความสามารถในทุก ๆ รอบของการแสดง ขอบคุณที่ทำให้พวกเราได้นึกถึงอดีตที่ผ่านมาในวัยเรียนว่าเรามีความสุข ความทุกข์อย่างไร ต้องพยายามกันขนาดไหนกว่าจะประสบความสำเร็จ...ทุก ๆ สิ่ง...คือ...น้ำใสใจจริงที่พวกเรามอบให้แก่กัน...
วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553
บนท้องถนน

วันพุธที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2553
"เงิน" สำคัญ (จริงหรือ?)

วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553
ขอบคุณ...ความรักที่ผ่านพ้นไป
ลองมานั่งนึกดูถึงความรักของฉันที่ผ่านมาเมื่อ 5 - 6 ปีที่แล้ว ลองคิดพิจารณาดูว่าสิ่งนั้นเรียกว่าความรักหรือเปล่าก็พบความจริงที่ว่ามันไม่ใช่ความรัก ความรักคือการทำให้คนที่เรารักมีความสุข สบายใจ มั่นใจ เรียกว่าทำสิ่งดี ๆ ให้แก่คนที่เรารัก แต่สำหรับฉันขณะนั้นมันควรจะเรียกว่าความหลงมากกว่า เพราะเค้าคนนั้นไม่เคยให้ความสบายใจ ความสุข เค้าไม่เคยทำให้ชีวิตฉันมีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นมาเลย ตรงกันข้าม ฉันถูกดูถูกและเหยียดหยามจากคนรอบข้าง ถูกนินทา ฯลฯ แต่ฉันก็ยังเชื่อมั่นในเค้า คิดเสมอว่าเค้ามีเหตุผลที่สำคัญถึงไม่สามารถยอมรับฉันอย่างเปิดเผยได้ และเข้าข้างตัวเองว่าเค้ารักฉันน่าแต่เค้าไม่แสดงออก รวมทั้งปลอบใจตัวเองด้วยคำว่าฉันทนได้ ฉันอยู่ได้ ทั้ง ๆ ที่ในใจฉันมันกร่อนหมดแล้วเค้าไม่เคยสนใจฉันเลย ถ้าคนรอบข้างเค้าเดือดร้อนหรือไม่สบายใจ เค้าจะรีบไปถึงคน ๆ นั้นก่อนใคร แต่ถ้าเป็นฉันจะบอกว่าเค้าถึงฉันเป็นคนสุดท้ายก็ไม่ใช่...เค้าไม่เคยมาถึงฉันเลยต่างหาก ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วเค้าควรจะมาถึงฉัน ให้ความช่วยเหลือฉันเป็นคนแรกซะด้วยซ้ำ รวมทั้งรอยยิ้มที่เค้ามีให้กับทุก ๆ คนที่ผ่านมา แต่สำหรับฉันบอกได้เลยว่าไม่มี ที่สำคัญที่สุดคือคำพูดที่เค้าคัดสรรมาแล้วว่าดีที่สุดสำหรับเค้า แต่มันเป็นคำพูดที่เชือดเฉือนและเลวร้ายที่สุดในชีวิตที่ฉันไม่คิดว่าเค้าจะพูดออกมาได้...จากวันนั้นถึงวันนี้ 3 ปีแล้วที่ฉันหันหลังจากเค้ามา ชีวิตฉันมีความสุขมากขึ้นอย่างมากมาย ทำอะไรได้อย่างที่ใจอยากทำ และไม่เดือดร้อนใคร ไม่ต้องคอยดูว่าเค้าจะเป็นอย่างไร รู้สึกอย่างไร มีความสุขไหมเหมือนเมื่อก่อน ความเจ็บปวดในครั้งนั้นทำให้ฉันรู้สึกขอบคุณเค้าคนนั้นมาก ขอบคุณความรักที่ผ่านพ้นไปที่ทำให้ฉันเข้มแข็งขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ และขอบคุณที่ทำให้ฉันรู้ว่า...เจ็บแล้วจำคือ คน เจ็บแล้ว ทน คือควาย ฉันอยากจะบอกเค้าคนนั้นว่าฉันไม่ใช่ควายอีกต่อไปแล้วล่ะ
เวลา
สิ่งที่คนทุกคน ทุกระดับชั้นมีเท่ากันคือ เวลา ที่มี 24 ชั่วโมงเท่ากันทุกคน ไม่มีใครที่มีเวลาเกินหรือน้อยกว่า 24 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับว่า เวลา ที่ผ่านไปแต่ละวินาทีนั้น คุณใช้มันคุ้มค่าแค่ไหน คุณใช้เวลานั้นเพื่อใคร เพื่อตัวคุณเอง เพื่อคนที่คุณรัก เพื่อคนรอบข้าง เพื่อสังคม วันนี้ คุณทำความดีแล้วหรือยัง...คุณทำให้คนรอบข้างของคุณมีรอยยิ้มหรือยัง...ถ้าคุณยังไม่ได้ทำ ยังไม่สายเกินไปที่คุณจะทำมัน เพราะหากหมดเวลา คุณจะไม่สามารถย้อนกลับมาทำสิ่งเหล่านี้ได้อีกแล้ว
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)