วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

YAMADA SAMURAI AYOTHAYA

    
          ซามูไรอโยธยา  (YAMADA)  หลังจากที่ฉันได้ไปชมภาพยนต์เรื่องนี้รอบสื่อมวลชนที่ผ่านมาแล้ว  ก็ตั้งใจไว้ว่าจะต้องหาเวลาไปดูซ้ำให้ได้อีกซัก 3 รอบ (จนมาถึงวันนี้ ก็ 4 รอบแล้วค่ะ) เพราะว่าฉากแต่ละฉากสวยงามมาก  สมจริง  แอ็คชั่นเร้าใจ  เล่นจริง  เจ็บจริง  เก็บรายละเอียดได้ดีมากทุกฉาก  มีคำพูดคม ๆ แฝงไว้ในเรื่องโดยตลอด  มีทั้งแอ็คชั่นและดราม่า  คุ้มค่าจริง ๆ ค่ะ  การถ่ายทำก็ละเอียด  เดินเรื่องไม่สับสน  ทุก ๆ ฝ่ายทุ่มเทในการทำงานอย่างจริงจัง  ทั้งเบื้องหลัง  และนักแสดง

เรียกว่ายอมเล่นจริง  เจ็บจริงกันเลยทีเดียว  โดยเฉพาะพระเอกของเรื่อง  ท่านยามาดะ  นางามาสะ  ซึ่งสวมบทบาทโดยนายแบบหนุ่มหน้าใสจากแดนอาทิตย์อุทัย  Seigi  Ozeki  ซึ่งฝากผลงานให้พวกเราได้ยลโฉมกันมาแล้วใน  คู่กรรม เดอะมิวสิคัล , คู่แรด และนอกจากนี้ยังมีมิวสิควิดีโอ ฯลฯ Seigi  ทุ่มเทกับภาพยนต์เรื่องนี้เป็นอย่างมาก  ตั้งใจที่จะเปิดเผยตัวตนของท่านยามาดะอย่างเต็มที่ ทั้งซ้อมมวยไทย  ตั้งใจพูดภาษาไทยให้ชัดที่สุด  ฝึกการออกเสียงทั้งตัว  ร , ล และตัวควบกล้ำ  ถึงแม้ว่าจะยังฟังดูแปร่ง ๆ ไปบ้าง  แต่เทียบกับความตั้งใจแล้วเอาคะแนนเต็มไปเลยค่ะ  ยังไม่รวมถึงที่บาดเจ็บระหว่างถ่ายทำ เรียกว่า Seigi - san มีแรง มีฝีมือเท่าไหร่งัดออกมาแสดงอย่างเต็มที่แหละค่า

          หลังจากที่ชมภาพยนต์เรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก อยากบอกว่าไม่เบื่อเลยค่ะ  ยิ่งดูยิ่งรักเมืองไทย โดยส่วนตัวแล้วฉันชอบภาพยนต์แนวนี้มาก  ไม่ว่าจะเป็น สุริโยทัย , ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช , พระเจ้าตากสิน หรือแม้แต่ละครทีวีเรื่องทวิภพ  มันทำให้ฉันนึกอยู่เสมอว่าถ้าคนไทยไม่สามัคคีกัน แก่งแย่งกันเป็นใหญ่ จะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศของเรา ที่ผ่านมาเราเจ็บช้ำมามากกับการเสียดินแดน ไม่ว่าจะเป็นยุคไหนก็ตาม ความเจ็บปวดจากการเสียดินแดนนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง ความรู้สึกที่จะต้องเป็นทาส  เป็นเชลย ไม่ได้เจ็บปวดแค่ร่างกาย  แต่มันเจ็บปวด  ร้าวรานในจิตใจที่ถูกเหยียบย่ำจนศักดิ์ศรีความเป็นคนไม่มีเหลือ  เราคงไม่อยากเห็นประเทศไทยในปัจจุบันเป็นแบบเดียวกับในอดีต  เพราะฉะนั้นพวกเราต้องช่วยกัน  รักและสามัคคีกันเพื่อนำพาประเทศไทยให้อยู่รอดต่อไป  เหมือนกับท่านยามาดะ  ที่มีความรักในแผ่นดินไทยจนฝากชีวิต  ฝากร่างกายและจิตใจไว้ที่เมืองไทยค่ะ




วันพฤหัสบดีที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2553

YAMADA ซามูไร อโยธยา หนังดีที่น่าติดตาม

         
          เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2553 ฉันได้มีโอกาสไปชมภาพยนต์ YAMADA ซามูไร อโยธยา รอบสื่อมวลชน ที่สยามพารากอน โดยภายในงานจัดให้มีการสัมภาษณ์นักแสดงบนเวที พร้อมทั้งจัดโชว์ศิลปะมวยไทย พร้อมทั้งจัดของว่าง ประกอบด้วย ซูชิ  ข้าวยำทอด โดรายากิไส้ถั่วแดง ลูกชุบ  และน้ำดื่มไว้ให้บริการแก่สื่อมวลชนและผู้เข้าร่วมงาน  บรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคัก  สื่อมวลชนพร้อมทั้งนักแสดงนำ ผู้กำกับภาพยนต์ และผู้มีเกียรติเข้าร่วมงานกันอย่างคับคั่ง แต่ฉันไม่ทราบว่าทางสยามพารากอนจะเปิดเครื่องปรับอากาศเบาไป หรือว่าเพราะจำนวนผู้ที่มาร่วมงานมีมากมาย จนทำให้อากาศร้อนพอสมควร (Seigi โพสต์ท่าถ่ายรูปไปก็ซับเหงื่อไปพลาง แถมยังแอบกระซิบถามฉันอีกต่างหากว่าร้อนมั้ย 555+ ฉันก็ตอบว่าร้อนเหมือนกันแหละ ก็มันร้อนนี่หว่า  สภาพเช็ดเหงื่อไม่ต่างกันหรอก)  เมื่อให้สัมภาษณ์และถ่ายภาพกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาเข้าชมภาพยนต์กันตอน 20.30 น. ฉันมีความรู้สึกว่า ภาพยนต์เรื่องนี้ทำให้ฉันรักในบ้านเกิดเมืองนอน และศัทราในคำว่า เพื่อนขึ้นอีกมากมาย ฉันรู้สึกขอบคุณภาพยนต์เรื่องนี้มากที่นำมาฉายได้ถูกจังหวะเวลา ในช่วงที่ประชาชนชาวไทยแบ่งเป็นสี แบ่งเป็นมาตรฐาน และเนื่องจากฉันได้ติดตามและรับรู้ถึงเบื้องหลังการถ่ายทำภาพยนต์เรื่องนี้มาพอสมควร  จึงทราบถึงความยากลำบากในการถ่ายทำ  อุปสรรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น  ความทุ่มเทแรงกาย  แรงใจของทีมงานและนักแสดงทุก ๆ ชีวิต  ขอบคุณพี่มด นพพร  วาทิน ผู้กำกับผู้ทุ่มเท  ขอบคุณ Seigi  Ozeki  พยายามเป็นอย่างยิ่ง ทุ่มเท มานะ บากบั่น เพื่อให้ผลงานออกมาดีที่สุด  ขอบคุณนักแสดงทุกท่านที่ฝากฝีมือไว้กับภาพยนต์เรื่องนี้อย่างเต็มที่  ขอบคุณทีมงานทุก ๆ คน ที่สร้างสรรค์ผลงานให้พวกเราได้ยลโฉมกัน  YAMADA ซามูไร อโยธยา  ฉายแล้วที่โรงภาพยนต์วันนี้  (2 ธ.ค. 53) เชิญเพื่อน ๆ ทุกท่านไปชมความยิ่งใหญ่ของภาพยนต์เรื่องนี้กันนะคะ
















          YAMADA  ซามูไร อโยธยา นำแสดงโดย Seigi  Ozeki  ธรรมรส  ใจชื่น  บัวขาว ป. ประมุข  สรพงษ์  ชาตรี  และนักแสดงสมทบอีกคับคั่ง  กำกับการแสดงโดย  นพพร  วาทิน
ขอบคุณภาพจากทีมงานมหากาพย์ค่ะ

วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

โศกนาฏกรรมบนท้องถนน

          ด้วยความที่ฉันเป็นคนหนึ่งที่ต้องใช้รถใช้ถนนอยู่เป็นประจำ  และก็ต้องมาทำงานแต่เช้า  ทำให้ได้เห็นอะไรหลาย ๆ อย่างที่เกิดบนท้องถนน  โดยเฉพาะโศกนาฏกรรม  ใช่ค่ะ  ระหว่างทางที่มาทำงานจะต้องพบซากสัตว์  ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เล็กหรือว่าสัตว์ใหญ่  เช่น  สุนัข  แมว  นก  เต่า  ตัวเงินตัวทอง  ฯลฯ  ขอย้ำนะคะว่ามีทุกขนาด  ตั้งแต่เล็กมาก ๆ ไปจนถึงใหญ่มากเช่นกัน  ก็เข้าใจนะคะว่าในหลาย ๆ ครั้งของผู้ขับรถมันกระทันหันจริง ๆ ไม่สามารถทำอะไรได้ดีไปกว่านั้นแล้ว  อันนั้นก็อโหสิค่ะ  แต่หลาย ๆ ท่านที่ชื่นชอบความเร็ว  ความแรงแบบไม่เกรงใจใคร  ไม่สนใจใคร  ถนนนี้เป็นของข้าเท่านั้น  ขอร้องเถอะค่ะ  ลดความเร็วลงหน่อยได้มั้ยคะ  ถึงแม้ว่าพวกเค้าจะเป็นสัตว์  แต่เค้าก็มีชีวิตนะคะ  มีหัวใจ  เจ็บเป็นเหมือนท่านแหละค่ะ  ที่สำคัญ  เค้ารักชีวิตของเค้าเหมือนกันนะคะ  ถ้าหากว่าสิ่งที่คุณชนหรือว่าทับไม่ใช่สัตว์ตัวนึงล่ะคะ  แต่เป็นคน  เป็นเด็ก  เป็นคนชรา  หรือเป็นคนในครอบครัว  หรือคนใกล้ตัวคุณ  คุณจะรู้สึกยังไงคะ  คุณจะนึกเหมือนที่คุณขับรถชนหรือทับสัตว์หรือเปล่าว่า  ช่วยไม่ได้  อยากมาขวางทางเอง  หรือว่า  สมน้ำหน้า  นี่ไม่ใช่ที่ของมึงซักหน่อย  อย่าลืมนะคะว่าพวกเค้าอาศัยอยู่มาก่อนเรา  มนุษย์ต่างหากที่รุกล้ำเข้าไปในที่ของเค้า  อาศัยอยู่ร่วมกันแบบถ้อยทีถ้อยอาศัยดีกว่านะคะ  เพื่อความสุขของทุกชีวิต

วันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ยินดีด้วยกับฑูตวัฒนธรรมไทย ประจำปี 2554

          เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2553  เวลา  14.00  น.  ณ  โรงละครแห่งชาติ  (โรงเล็ก)  ได้มีการเปิดตัวภาพยนต์อิงประวัติศาสตร์  เรื่อง  ซามูไรอโยธยา  (Yamada  The  Samurai  Of  Ayothaya)  ขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยเนื้อเรื่องเกี่ยวกับชาวญี่ปุ่นท่านหนึ่ง คือ ท่านยามะดะ  นางามาสะ ซึ่งสวมบทบาทโดย  Seigi  Ozeki  (เซกิ  โอเซกิ) ที่เข้ามาทำงานรับใช้เบื้องพระยุคลบาทของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช  และรักในแผ่นดินไทยยิ่งชีวิต  "ถึงแม้มิใช่แผ่นดินเกิด  แต่จักขอเป็นแผ่นดินตาย"  มีนักแสดงนำคือ 
คุณ  Seigi  Ozeki , คุณสรพงษ์  ชาตรี , คุณธรรมรส  ใจชื่น ,  คุณบัวขาว  ป.  ประมุข ,  คุณวินัย  ไกรบุตร  และนักแสดงร่วมอีกมากมาย  ซึ่งล้วนแต่ฝีมือจัดจ้านในการแสดงทั้งสิ้น 
กำกับการแสดงโดย  คุณนพพร  วาทิน


ขอบคุณ http://www.youtube.com/  และข้อมูลจาก  http://www.thaicinema.com/

          และเนื่องในโอกาสนี้สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยได้แต่งตั้งให้นักแสดงนำของเรื่อง  คือ  คุณเซกิ  โอเซกิ  และ  คุณบัวขาว  ป.  ประมุข  เป็นฑูตวัฒนธรรมไทย  โดยมีคุณวิฑูรย์   กรุณา  อดีตดาราชั้นนำของไทยเป็นประธานในการคัดเลือก  และเป็นผู้มอบประกาศเกียรติคุณอันทรงเกียรตินี้ให้กับนักแสดงทั้งสองท่าน






         ขอแสดงความยินดีกับคุณเซกิ  โอเซกิ  และคุณบัวขาว  ป.  ประมุข  (อีกครั้ง...หลังจากที่ร่วมแสดงความยินดีกันไปแล้วเมื่อวันที่  9  พ.ย.  53)  ที่ได้รับการคัดเลือกเป็นตัวแทนอันทรงเกียรติในครั้งนี้  โดยเฉพาะ  คุณเซกิ  เป็นคนต่างชาติที่มีความพยายามอย่างยิ่งที่จะเรียนรู้ภาษาไทย  ศิลปะวัฒนธรรมไทย  ประเพณีไทย  รวมทั้งการใช้ชีวิตแบบไทย ๆ จนเดี๋ยวนี้แทบจะกลายเป็นคนไทยคนหนึ่งแล้วค่ะ  คุณเซกิ  มีความตั้งใจในการทำงานทุกชิ้นให้ออกมาดีที่สุด  ทำงานอย่างสุดความสามารถ  ยกนิ้วโป้งให้เลยค่ะ  จากนี้ไปท่านฑูตทั้งสองคงจะมีภาระกิจมากมายในการเผยแพร่  และแลกเปลี่ยนศิลปะวัฒนธรรมระหว่างไทย - ญี่ปุ่น  ขอให้ตั้งใจ  ทำหน้าที่ให้ดีที่สุดนะคะ  ฉันจะคอยเป็นกำลังใจให้ค่ะ  Seigi  Ozeki Fight... ,  คุณบัวขาว  สู้ ๆ ค่ะ...^U^

วันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ผักชีโรยหน้า

         
          ผักชี  เพื่อน ๆ รู้จักผักชีมั้ยคะ  คิดว่าเพื่อน ๆ ต้องรู้จักผักชีกันเป็นอย่างดี  ผักชีมีกลิ่นหอมมาก  รูปร่าง  ลักษณะของใบก็สวยงาม  สามารถนำมาใช้ตกแต่งอาหารได้แทบจะทุกชนิด  ทำให้อาหารดูน่ารับประทาน  และสวยงามมากขึ้น  แต่ในปัจจุบันนี้  ผักชี  ถูกนำมาโรยหน้าการทำงานของคนค่ะ  ไม่ว่าจะเป็นการเอาใจเจ้านาย  การทำงานไปวัน ๆ ของลูกจ้าง  ขอให้พ้นไปเดือน ๆ นึงก็พอ  ซึ่งเป็นที่น่าตกใจมากว่าสังคมของเราเป็นอย่างนี้ไปซะแล้ว  คนทำงานจริงจัง  ทุ่มเท  ตรงไปตรงมา  ถูกต้องไม่มีที่จะยืนแล้วค่ะ  เนื่องจากว่านายไม่ปลื้ม  นายไปปลื้มแต่คนที่ทำอะไรถูกใจนาย  เอาใจนาย  อำนวยความสะดวกให้นายในทุกกรณี  ไม่ว่าจะเป็นพานายไปทานข้าวก็ต้องเลือกร้านที่นายชอบ  สั่งกับข้าวที่นายชอบ  ไปจนถึงภรรยานาย  ลูกนายด้วย  เวลานายจะเดินไปทางไหน  ทางนั้นต้องสะอาด           สวยงาม  ไม่มีแม้แต่เศษกรวดที่จะทำให้นายขัดตา  หรือว่าหกล้ม  และอีกมากมายที่คนสรรหาจะทำเพียงเพื่อเอาใจนาย  ไม่สนใจว่าจะเสียงบประมาณมากเท่าไรในการจัดสถานที่  จัดอาหาร  เครื่องดื่ม  และอำนวยความสะดวกต่าง ๆ (ใช้ผักชีโรยหน้าให้นายดู  เช่น  นายจะมาวันที่ 3 ก็จัดทุกอย่างในวันที่ 2)     งบประมาณที่สมควรจะมาพัฒนาเด็กนักเรียน       นักศึกษา จำนวนไม่น้อยที่หมดไปกับการเลี้ยงรับ  เลี้ยงส่ง  จัดสถานที่   หาของขวัญ ฯลฯ ให้นาย  มันสมควรแล้วเหรอคะ  เมื่อไรสิ่งเหล่านี้จะหมดไปจากสังคมไทยซะที...


วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2553

การเลี้ยงดูลูก

          เมื่อวันหยุดยาวที่ผ่านมา (23 - 25 ตุลาคม 2553)  ฉันมีโอกาสไปเที่ยวกับครอบครัวของพี่ชาย  และเพื่อนที่ทำงานของพี่ชายอีก  2  ครอบครัว  เราไปทะเลกัน  ทะเลสวย  บรรยากาศดี  ถึงแม้ว่าจะมีฝนตกลงมาบ้างเป็นบางครั้ง  แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความสนุกของเราลดลง  โดยเฉพาะเด็ก ๆ งานนี้เรามีเด็กร่วมทางไปด้วย  แบ่งเป็นเด็กเล็ก 4 คน (ยังไม่เข้าโรงเรียนจนถึง ป. 5)  แล้วก็เด็กโต (ม.1 - ม.4) 3 คน  เด็กเล็ก ๆ 4 คนยังพอเข้าใจค่ะว่าช่วยเหลือตัวเองไม่ได้มากเท่าไร  ยังต้องอาศัยพ่อกับแม่  และบุคคลรอบข้างช่วยเหลือในหลาย ๆ เรื่อง  แต่พวกเค้าก็พยายามจะช่วยเหลือตัวเองพอสมควร  เช่น กินข้าวเอง  อาบน้ำเอง  ทาแป้งเอง  ถึงแม้ว่าจะดูเลอะเทอะ  และวุ่นวายกันอยู่พอสมควร  แต่ก็สนุกดีค่ะ  ส่วนเด็กโต ๆ อีก 3 คนนี่ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่นัก เพราะว่าไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกิน  การจัดเสื้อผ้าแต่งตัว  การขนของกินและเสื้อผ้า  หรือแม้แต่การบีบและถือแปรงสีฟันเข้าห้องน้ำไปแปรงฟันยังต้องให้พ่อและแม่จัดการให้อยู่  ฉันเห็นแล้วก็เลย งง ๆ เพราะว่าเด็กเล็ก ๆ 4 คนนั้น พยายามที่จะแปรงฟันเอง (ถึงแม้ว่าจะไม่สะอาดเท่าที่ควร  แต่ก็ไม่เป็นไร  หลังจากที่เค้าแปรงแล้วเราก็จับเค้ามาอ้าปากแปรงใหม่ก็ได้)  แต่เด็กโต 3 คนนั่นทำไมต้องให้แม่เป็นคนทำให้  แม่ช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้  จัดเสื้อผ้าให้  ต้มน้ำร้อนลวกมาม่ากระป๋อง  หรือโจ๊กกระป๋องให้  ลวกไส้กรอก  แฮม  รินน้ำให้  ยกมาให้กิน  เหลืออยู่อย่างเดียวและค่ะเพื่อน ๆ ก็คือเคี้ยวให้  การเลี้ยงลูกในสมัยนี้ทำให้ลูกกลายเป็นลูกเทวดาเหมือนที่เพลงเค้าร้องจริง ๆ ค่ะ  เด็กไม่ค่อยได้ช่วยเหลือตัวเองในสิ่งที่ควรจะทำได้  ทำเป็น  พ่อแม่อำนวยความสะดวกให้ลูกมากจนเกินพอดี  อยากได้อะไรก็ต้องตะกายหามาให้  เด็กไม่รู้จักคำว่า  ไม่ได้  ไม่ค่อยเข้าใจกับคำว่า  เหตุผล  แล้วอย่างนี้อนาคตของเค้าจะเป็นยังไงต่อไปก็ไม่มีใครรู้  พ่อแม่ควรหัดให้ลูกรู้จักการช่วยเหลือตัวเองบ้างตามสมควร  ต้องสอนให้ลูกรู้จักคำว่าผิดหวัง  และปลูกฝังให้ลูกเป็นคนมีเหตุผล  รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเราบ้าง  ไม่ใช่ฉันชอบอย่างนี้  ฉันจะเปิดทีวีเสียงดังใครจะทำไม  ยิ่งพ่อแม่ท่านใดที่ทำงาน  มีหน้าที่เป็นหัวหน้า  เป็นผู้บริหาร  ยิ่งต้องรู้จักสอนให้ลูกเป็นคนที่เกรงใจคนตามความเหมาะสม  รู้จักเข้าสังคม  ให้ความช่วยเหลือผู้อื่นเท่าที่จะทำได้  ไม่ใช่ว่าลูกน้องของตัวก็ต้องเอาใจและตามใจลูกของหัวหน้าหรือผู้บริหารทุกอย่าง  นั่นจะทำให้เด็กเป็นคนที่หัวสูง  ไม่เห็นใจคนอื่น  ไม่มีน้ำใจ  และขาดคุณสมบัติที่ดีของการอยู่ร่วมกันในสังคมค่ะ  ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะสร้างครอบครัวให้เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข...

วันเสาร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ความสุข ความทุกข์

          สิ่งมีชีวิตทุกสิ่งบนโลกใบนี้ย่อมต้องการเสาะแสวงหาความสุขให้กับตนเองทั้งสิ้น  บ่อยครั้งที่ความสุขที่ตนเองต้องการก็มักจะไปทำลายความสุขของผู้อื่นอยู่เสมอ  นั่นคือการเบียดเบียนกัน  ทำร้ายกัน  เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ตนเองต้องการ  เคยคิดกันบ้างไหมคะว่าการที่เราได้ความสุขมาโดยวิธีนั้นมันเป็นความสุขที่แท้จริงหรือเปล่า  ความสุขที่ได้มามันจีรังยั่งยืนตลอดไปมั้ย  ไม่มีใครเคยคิดถึงข้อนี้เลย  ขอแค่มีความสุขทุกวัน  และทั้งวันก็พอแล้ว  การที่เรารู้สึกว่าเวลาแห่งความสุขสั้นนักไม่เหมือนเวลาแห่งความทุกข์ที่มันช่างยาวนานเหลือเกินนั่นก็เพราะว่าเมื่อเรามีความสุขเราก็จะเพลิดเพลินกับความสุขนั้น  จนทำให้ลืมเวลา  ลืมคนรอบข้าง  ไม่คิดสิ่งใดทั้งสิ้นนอกจากสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข  แต่เมื่อเรามีความทุกข์  เราก็จะจมอยู่กับสิ่งที่เราทุกข์  ขบคิด  หาทางแก้และดับทุกข์อยู่ตลอดเวลา  ทำให้ทุกข์อยู่กับเรานาน  จริง ๆ แล้วใน 1 วัน เรามีทั้งสุขและทุกข์คละเคล้ากันไป  ไม่มีใครที่สุขทั้งปี  และไม่มีใครที่ทุกข์ทั้งชาติ  นั่นคือรสชาดของชีวิต เราต้องยอมรับในสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น  และผ่านเข้ามาในชีวิตอย่างมีสติ  และอย่าปล่อยให้อารมณ์สุข  อารมณ์ทุกข์เข้ามาเป็นนายจิตใจเรา  จงใช้ชีวิตอย่างรู้เท่าทันอารมณ์ค่ะ  แล้วคุณจะเห็นมุมมองที่หลากหลายในชีวิตเพิ่มขึ้น.....

วันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ข้าราชการ

     ในสมัยอดีต ถ้าบ้านไหนมีบุตรหลานประกอบอาชีพรับราชการแล้วล่ะก็  เป็นสิ่งที่เชิดหน้าชูตาและเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลนั้น ๆ เป็นอย่างยิ่ง  นั่นหมายถึงความมีอำนาจและทรัพย์สินเงินทอง  รวมทั้งข้าทาสบริวารมากมาย  ในปัจจุบันก็เช่นกัน  หลาย ๆ ครอบครัวยังสนับสนุนให้บุตรหลานรับราชการเพื่อความมั่นคง  ใช้ทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้ได้รับราชการ เช่น  ใช้เงินฝากเข้าทำงานราชการ  ใช้ระบบเส้นสาย  การสอบเป็นเพียงแค่ฉากบังหน้า  ไม่ว่าคุณจะสอบข้อเขียนฝ่านได้ลำดับที่ดีแค่ไหน  หากคุณไม่มีเงินมากพอคุณก็ไม่สามารถเป็นข้าราชการได้  ตรงกันข้าม ถ้าคุณสอบข้อเขียนได้ลำดับที่แย่มาก ๆ แต่ถ้าคุณมีเงินคุณก็สามารถเป็นข้าราชการได้ทันที ข้าราชการในสมัยนี้หลาย ๆ คนที่ยังปฏิบัติตัวแบบเช้าชามเย็นชาม  เช่นข้าราชการคนหนึ่งที่ฉันจะยกตัวอย่างให้เพื่อน ๆ ทราบเค้ามาทำงาน 09.00 น.  10.00 น. ต้องไปซื้ออาหารเช้าทาน  11.00 น.  ต้องไปตักบาตร  ทำบุญ  เนื่องมาจากหากไม่ทำเป็นประจำแล้วไซร้ ดวงในการเสี่ยงโชคก็จะไม่ดีตามไปด้วย  จากนั้นก็ถือโอกาสพักเที่ยงซะเลย   กลับเข้ามาทำงานอีกทีตอนบ่ายสองโมง  จากนั้นบ่ายสามโมงก็เพลียมาจากการทำงานทั้งวัน  ต้องนอนพักผ่อน  พอ 16.00 น.  ก็ตื่นขึ้นมาพอดีกับเตรียมตัวกลับบ้าน  เก็บของเสร็จก็ไปเลย  อันนี้ช่วงเวลาที่โรงเรียนปิดนะคะ   ถ้าเป็นเวลาที่เปิดเรียนหรือเปิดเทอมแล้วล่ะก็ จะต้องไปนวดแผนโบราณที่โรงพยาบาลด้วยค่ะ  กลับเข้ามาอีกทีก็ตอน 17.45 น.  เพื่อที่จะเก็บของแล้วก็เตรียมเซ็นชื่อทำงานภาคธุรการ ตอน 18.30 น.  แล้วก็กลับบ้าน (เวลาที่โรงเรียนเปิดจะเลิกงานตอน 18.30 น. ค่ะ  ช่วงเวลาธุรการจะได้รับค่าล่วงเวลาคนละ 100 บาท)  เป็นไงคะ        ข้าราชการ  ฉันยอมรับว่าข้าราชการไทยทุกคนไม่ได้เป็นแบบนี้  แต่ก็มีข้าราชการจำนวนไม่น้อยที่เป็นแบบนี้ค่ะ  แล้วประเทศไทยจะเอาอะไรมาเจริญได้คะ  ก็คุณภาพของข้าราชการเป็นแบบนี้ซะส่วนมาก เด็ก ๆ จะมีคุณภาพได้อย่างไรถ้าข้าราชการครูที่ต้องสอนพวกเขาให้มีความรู้ต้องละทิ้งเด็ก ๆ เพื่อมาทำผลงานให้ตัวเองผ่านการประเมินระดับนั้น ๆ แล้วก็ได้เงินประจำตำแหน่งเพิ่มเพื่อให้พอกับการชำระหนี้สินและรายจ่ายประจำของตนเอง    ผู้บริหารโกงกินเงินหลวง  ฉ้อราษฏร์บังหลวง  ใช้อำนาจในทางที่ผิด  สังคมของเราจะต้องเป็นแบบนี้อีกนานเท่าไหร่กันนะ...แต่ที่แน่ ๆ ฉันเริ่มไม่ศรัทธาในวงการข้าราชการเสียแล้วสิ  เพื่อน ๆ ล่ะคะ  คิดเช่นไร

วันอังคารที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2553

คู่กรรม เดอะ มิวสิคัล (Koogam on screen)


     วันเสาร์ที่ผ่านมา  (18 กันยายน  2553) ได้มีโอกาสไปเยือนที่โรงละคร  M  Theatre  อีกครั้งหนึ่ง  หลังจากที่ไปมาก็หลายครั้งแล้ว  555+  ในวันนี้ได้ไปดูละครเวที  เรื่อง  คู่กรรมเดอะมิวสิคัล  ในรูปแบบบันทึกการแสดงสด  On Screen  ซึ่งจัดฉายโดย  Dreambox  เจ้าเก่า  คราวนี้เราไปดูการแสดงกันที่  Blue  Box  Strdio  ความจุประมาณ  80  ที่นั่งได้สบาย ๆ คู่กรรม  เป็นบทประพันธ์ของ  ทมยันตี  บทละครและเนื้อเพลง  คุณดารกา  วงศิริ  กำกับการแสดงโดยพี่ลิงเจ้าเก่า  คุณสุวรรณดี  จักราวรวุธ  กำกับดนตรีและประพันธ์ทำนองโดย  คุณไกรวัล  กุลวัฒโนทัย  ร่วมด้วย  คุณพลรักษ์  โอซกะ  และ  พี่ไก่  คุณสุธี  แสงเสรีชน  เรียบเรียงเสียงประสาน  และ  ควบคุมวงดนตรี  โดย  คุณดำริห์  บรรณวิทยกิจ / นพ  ประทีปเสน  คู่กรรม  เดอะ  มิวสิคัล นำแสดงโดย Seigi  Ozeki  ซึ่งรับบทเป็น  โกโบริ  ชายที่มีรักแท้และมั่นคงในคำสัญญา  คุณน้ำมนต์  รับบท  อังสุมาลิน  หญิงใจแกร่งที่กว่าจะรู้ใจตัวเองก็สายเกินไป

     โดยส่วนตัวแล้วชอบนวนิยายเรื่องนี้มากมาย  อ่านทีไรร้องไห้ได้ทุกครั้ง  พอมาเป็นละครทีวีทางช่อง  7 นำแสดงโดยพี่เบิร์ด  และน้องกวาง  ก็ยังซาบซึ้งเหลือหลาย  จำได้ว่าถ้าคู่กรรมเล่นเมื่อไรถนนจะว่างทันที...หุ...หุ  ยิ่งตอนจบ  โกโบริกำลังจะตายด้วยแล้ว  แม่ค้าเลิกขายของกันเลยทีเดียวค่ะ  น้ำตาท่วมจอ 


     พอ DB จับนวนิยายเรื่องนี้มานำเสนอในรูปแบบละครเวที  ไม่มีบทพูดเลย  เล่าเรื่องราวด้วยบทเพลงตลอดเรื่องก็ยิ่งน่าติดตาม  แต่ยอมรับเลยค่ะว่าไม่ได้ดู  เสียดายมากจนถึงวันนี้  (เนื่องจากเมื่อก่อนไม่เปิดตัว  ไม่รับรู้โลกภายนอก  ทำให้พลาดโอกาส ดี ๆ นี้ไป)  และแล้ววันหนึ่งเทวดาก็ลใจให้พี่ลิงนำ  คู่กรรม เดอะ มิวสิคัล มาฉายในรูปแบบของบันทึกการแสดงสด  Koogam  on  screen  ก็เลยไม่มีคำว่าลังเลอีกแล้วในหัวสมอง  จัดการให้เพื่อนช่วยจองตั๋วให้ทันที  ฉันจะไม่ยอมพลาดอีกแล้ว  (ต้องขอบคุณทิพย์มาก ๆ เลยจ้า)

     วันนั้นโชคดีที่พี่ลิงก็ยังไม่ได้ดูด้วยเหมือนกัน  ก็เลยเข้าไปนั่งดูด้วยกัน  รวมทั้ง  ปิ๊ก  และหมู่มวลของคู่กรรมหลายคน  ภาพชัด  เสียงเพราะ  ทุกอย่างลงตัวนะ  ในความรู้สึกของฉัน  น้ำตายังตกอยู่เหมือนเดิม ไม่รู้ว่าจะอธิบายเป็นคำพูดได้อย่างไร ทุกคนเก่งมาก ๆ โดยเฉพาะพระเอกของเรื่อง  Seigi  Ozeki  มีความพยายามมาก ๆ ในการร้องเพลงเป็นภาษาไทย  ตอนนั้น  Seigi เพิ่งจะมาเมืองไทยใหม่ ๆ มีเวลาซ้อมแค่ประมาณ 2 เดือน ทำได้ถึงขนาดนี้ทึ่งในความพยายามจริง ๆ แต่คนที่อดทน  ฮึด  อึด  และพยายามมากที่สุดเห็นจะเป็น  พี่ลิง  ผู้กำกับคนเก่งของเราที่เคี่ยวพระเอกจนเกือบจะไหม้ซะเลย  ทำให้คนญี่ปุ่นที่พูดและฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่อง  สามารถมาเล่นละครเพลงไทยได้ดีขนาดนี้  ยกนิ้วโป้งให้  2  นิ้วเลยค่า

     แต่น่าเสียดายมาก ๆ ที่  พี่ลิง  ไม่ยอมใจอ่อน  นำ  คู่กรรม  เดอะ  มิวสิคัล  มาลงแผ่นให้พวกเราได้จับจองเป็นเจ้าของกัน อ้อนก็แล้ว ขู่ก็แล้ว  เหลือแต่บีบคอที่ยังไม่ได้ทำ  555+  แต่ก็ไม่เป็นไรค่ะ  วันเกิดของคู่กรรม  เดอะ  มิวสิคัลเมื่อไรก็จัดฉายให้พวกเราได้ดูกันให้หายคิดถึงก็ได้ค่ะ  (จะได้ดูว่าตอนเด็ก ๆ หน้าตานักแสดงเป็นยังไง)

     ประทับใจค่ะ  ชอบมาก ๆ ๆ ๆ มันเป็นเรื่องราวจริง ๆ ละครเวทีเรื่องนี้  ต้องใช้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นความสามารถ ความอดทน ฮึด อึด แรงกาย แรงใจ และกำลังใจ และผลที่ได้รับกลับมาก็คือ  คุ้มค่าจริง ๆ ค่ะ  ขอบคุณ  Dreambox ขอบคุณพี่ลิง  ขอบคุณพี่ไก่ ขอบคุณ Seigi  ขอบคุณ คุณน้ำมนต์ ขอบคุณทีมงานและนักแสดงทุก ๆ ท่านที่ทำให้เกิด คู่กรรม เดอะ  มิวสิคัล ขึ้นมาในวันนี้  ทุกฉาก  ทุกตอน  ทุกเนื้อร้อง  ทุกทำนอง  เปี่ยมไปด้วยความพยายาม  อดทน  ทุ่มเทอย่างเต็มที่  ขอบคุณจากใจค่ะ








วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

อำนาจ

     อำนาจ  คำนี้เป็นคำที่หลาย ๆ คนใฝ่ฝัน  และทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มา  ซึ่ง  อำนาจ  ฟังดูแล้วยิ่งใหญ่  น่าเกรงขาม แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ซึ้งถึงการใช้  อำนาจ  อย่างถูกต้อง  ไม่หลงระเริงกับมัน  ไม่ใช้อำนาจในทางที่ผิด  ส่วนใหญ่แล้วเมื่อคนมีอำนาจ  ก็จะมีความลุ่มหลงในอำนาจนั้นว่าเป็นสิ่งล้ำเลอค่า  สามารถบรรดาลได้ทุกสิ่งที่ตนเองต้องการ  ทำให้คนใช้  อำนาจ  ในทางที่ผิด  ใช้เพื่อแสวงหาผลประโยชน์เข้าตัวเองใช้  อำนาจ  เพื่อกลั่นแกล้งหรือซ้ำเติมผู้ที่ด้อยกว่า  ใช้อำนาจเหยียบย่ำผู้อื่น  แต่อำนาจก็มีวาระ  มีอายุการใช้งานเหมือน ๆ กับอาหารที่เรารับประทานกันอยู่ทุก ๆ วัน  ย่อมมีวันหมดอายุ  แล้วเมื่อหมด  อำนาจ  เมื่อไร  ท่านก็จะรู้ว่าข้าง ๆ กายท่านมีใครอยู่บ้าง  มิตร  หรือ  ศัตรู  และเมื่อนั้น  ท่านก็จะได้รับผลจากการที่ท่านใช้  อำนาจ  มาตลอดอายุการใช้งาน...

วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

ความยุติธรรม

     ความยุติธรรม  คำนี้และสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทุก ๆ คนต้องการ  และอยากให้เกิดขึ้นในทุก ๆ สถานการณ์  ทุก ๆ สังคม  ฉันอยากรู้ว่าบรรทัดฐานของความยุติธรรมอยู่ที่ไหน  เรื่องราวที่ฉันพบ  และผ่านเข้ามาในชีวิตนั้นให้คำตอบของบรรทัดฐานของความยุติธรรมได้แค่ว่า 

     ความยุติธรรมจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเราเป็นฝ่ายไหน  ถ้าเราเป็นฝ่ายถูกกระทำ  ความยุติธรรมที่เรียกร้องย่อมมาจากพื้นฐานความต้องการที่ตนเองอยากได้  อยากมี  อยากเป็นเมื่อไม่ได้รับการสนองตอบ  หรือได้รับการสนองตอบแต่ไม่ตรงกับที่ตัวเองอยากได้ก็แสดงว่าไม่ยุติธรรม

     ส่วนบรรทัดฐานของความยุติธรรมที่มาจากการที่เราเป็นฝ่ายกระทำ  หรือเป็นฝ่ายให้  ย่อมมาจากความพึงพอใจที่จะให้  ฉันให้ได้แค่นี้นะ  สำหรับเธอฉันให้ตั้งขนาดนี้แล้วยุติธรรมดีแล้วสำหรับเธอ  เหมาะสมดีแล้ว  ถ้าเธอเรียกร้องมากกว่านี้มันไม่ยุติธรรมสำหรับฉัน  (ประมาณว่าฉันไม่เสียผลประโยชน์มาก) ซึ่งในความเป็นจริงแล้วฉันอยากถามว่า  จริง ๆ แล้วความพอดีของความยุติธรรมมันอยู่ตรงไหนกันแน่  มันเป็นสิ่งที่ฉันยังไม่เข้าใจอยู่ดี  และก็คงจะต้องค้นหาคำตอบกันต่อไปเหมือนหนังเรื่องยาวที่ยังไม่มีตอนจบ...


วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

ละครเวทีเรื่องแรกในชีวิต

    
      เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (4ก.ย. 53) ช่วงค่ำ ๆ  19.30 น. มีโอกาสไปดูละครเวทีเรื่อง  น้ำใสใจจริงเดอะมิวสิคัล โดยน้ำใสใจจริงนี้เป็นนวนิยาย  ประพันธ์โดยคุณ  ว.วินิจฉัยกุล จัดโดย  Dreambox  ที่โรงละคร M Theatre 
     ซึ่งมาจองบัตรไว้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน รวมทั้งมีโอกาสไปงานแถลงข่าวเปิดตัวละครเวทีเรื่องนี้มาด้วย  ซึ่งถือได้ว่าละครเวทีเรื่องนี้เป็นละครเวทีเรื่องแรกที่ตัดสินใจไปดู  ยอมรับว่ามีเหตุผลหลายเหตุผลที่ตัดสินใจไปดูละครเรื่องนี้ 

     ประการแรกคือค้องการไปให้กำลังใจทีมงานและศิลปินทุก ๆ คนที่ได้ร่วมแรงร่วมใจกันจัดทำผลงานชิ้นนี้ขึ้นมา  ถ้านับกันจริง ๆ รายชื่อคงจะยาวเหยียด  เท่าที่พอจะนับได้ก็มีดังต่อไปนี้
     1.  บทละครและคำร้อง                        คุณดารกา        วงศ์ศิริ  
     2.  กำกับและประพันธ์ดนตรีโดย  พี่ไก่  คุณสุธี             แสงเสรีชน
     3.  กำกับการแสดงโดย               พี่ลิง  คุณสุวรรณดี     จักราวรวุธ
     4.  พี่ ๆ ทีมงาน  DB อีกมากมาย
     มาดูทางฝั่งศิลปินกันบ้าง  ก็มี  คุณตู่  ภพธร  สุนทรญาณกิจ , ปุยฝ้าย AF4 คุณณัฏฐพัชร  วิพัธครตระกูล ,
คุณนรินทร ณ บางช้าง , คุณศรัณย์ ทองปาน , คุณสมพล ปิยะพงศ์ศิริ , คุณพุทธชาติ จึงไพศาล , คัตโตะ ลิปตา  น้องบอย AF3 , น้องมิวสิค  AF4 , น้องกู๊ด AF4 , น้องชัย , น้องเอื้อ เอื้ออาทร , แล้วก็ที่ขาดเสียไม่ได้แอร์โฮสเตสคนสวย  น้องแอ๋ม  รวมทั้งอีกหลาย ๆ ชีวิตที่มาร่วมเป็นหมู่มวลของน้ำใสใจจริงเดอะมิวสิคัล อีกคนก็คือน้องมังคุด (ชื่อในเรื่อง) เรียกเสียงฮาได้ไม่แพ้ใคร

     ประการที่สองก็คือ  ต้องการทราบว่าละครเวทีเป็นยังไง  เดินเรื่องลักษณะไหน (เนื่องจากไม่เคยดูมาก่อนเลยในชีวิต) 

     หลังจากที่ได้ดูละครเรื่องนี้จนจบ  บอกได้คำเดียวว่าสนุกมาก  ประทับใจทุก ๆ ฉาก  ที่มากที่สุดก็เห็นจะเป็นฉากที่พระเอก  (โจม)  พานางเอก  (ครีม)  ไปดูสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่งที่บ้านนอกมีเยอะแยะเลย...หุ...หุ  โดยการประสานความสัมพันธ์ของ เพื่อนนางเอก (อ้อม)  ซึ่งก๋ากั่นไม่ใช่เบา  แล้วก็ฉากที่น้องหมาบอยขออาศัยอยู่ในหอด้วย  ชอบค่ะ  อธิบายเป็นคำพูดไม่ถูกเลย  รู้แต่ว่าจะเสียดายมาก ๆ ถ้าไม่ได้ดู 

     ละครเรื่องนี้ให้อะไรหลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้นจริง ๆ ในชีวิตช่วงหนึ่งของพวกเราทุก ๆ คน ตั้งแต่เริ่มแสดงก็คือทุก ๆ คนมีพื้นฐานชีวิตที่ไม่เหมือนกัน  บางคนมาจากครอบครัวที่มีพร้อม  ดีพร้อม  ในขณะที่บางคนมาจากครอบครัวที่ค่อนข้างขัดสน  ทุก ๆ คนที่มาอยู่รวมกันในมหาวิทยาลัยฯ บ้านนอกนี้มีหลากหลายนิสัย บางคนเจ้าชู้ บางคนก๋ากั่น บางคนเรียบร้อย บางคนเอาแต่ใจ  ขาวีน บางคนธรรมะธรรมโม บางคนเก็บกด  อ่อนแอ  บางคนต้องการความเจริญก้าวหน้าในชีวิตและหน้าที่การงาน  ฯลฯ  ซึ่งในชีวิตจริง ๆ เราก็เจอคนแบบนั้นเหมือนกัน  สมัยเรียนเราชอบแหกกฎ  ระเบียบ  เริ่มมีความรักและแอบรัก  กังวลว่าผลสอบจะเป็นยังไง จีบสาว (หนุ่ม) แบบไหนจึงจะดี ความชอบของแต่ละคนแตกต่างกัน แต่ทุก ๆ คนก็อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ดีกันบ้าง  ทะเลาะกันบ้าง  แต่ก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ดี

     ละครเรื่องนี้เหมือนกระจกเงาที่สะท้อนเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาสำหรับใครหลาย ๆ คน  รวมทั้งบอกถึงเรื่องราวในอนาคตที่จะเกิดขึ้นกับน้อง ๆ อีกหลาย ๆ คนที่อยู่ในวัยเรียน  แต่ตอนนี้ความรู้สึกก็คือเริ่มจะรักละครเวทีซะแล้วสิเนี่ย...เรา...ขอขอบคุณทีมงานและศิลปินทุก ๆ ท่านที่ทุ่มเททั้งแรงกาย  แรงใจอย่างสุดความสามารถในทุก ๆ รอบของการแสดง  ขอบคุณที่ทำให้พวกเราได้นึกถึงอดีตที่ผ่านมาในวัยเรียนว่าเรามีความสุข  ความทุกข์อย่างไร  ต้องพยายามกันขนาดไหนกว่าจะประสบความสำเร็จ...ทุก ๆ สิ่ง...คือ...น้ำใสใจจริงที่พวกเรามอบให้แก่กัน...

วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553

บนท้องถนน

เมื่อคืนที่ผ่านมาฝนตกทั้งคืน  ทั้งฝนและฟ้าคะนอง จนรุ่งเช้าก็ยังไม่หายตกทำให้ท้องถนนเละทางเท้าสัญจรเฉอะแฉะ  ทำให้เกิดความลำบากนิดหน่อยในการเดินทางไปทำงาน  ไปเรียนหนังสือ  หรือปฏิบัติภาระกิจอื่น ๆ ระหว่างที่รอรถเมล์อยู่ข้างทางฉันก็ได้เห็นถึง  จะเรียกว่าอะไรดีนะ  สุภาพหน่อยก็แล้วกัน  นิสัยในการใช้รถใช้ถนนของคนหลาย ๆ คน  ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติที่จะมีปะปนกันไปทั้งคนที่ใช้รถใช้ถนนด้วยความสุภาพ  เห็นอกเห็นใจคนเดินทางเท้า  แล้วก็พวกที่ไม่สนใจใคร ฉันจะใช้ความเร็ว  (เร็วมาก) ใครจะทำไม  น้ำฝนที่ค้างอยู่บนพื้นถนนจะกระเด็นโดนใครก็ช่าง  ฉันไม่สน  จะชนใครหรือเปล่า  ฉันไม่แคร์  ซึ่งพวกหลังเนี่ยจะมีหลายคนอยู่นะเนี่ย  ไม่รู้เหมือนกันว่าเค้าจะรีบไปไหนกันทั้ง ๆ ที่ฝนตกอยู่  เร่งเครื่องยนต์กระหึ่มแถมยังเร็วอีกต่างหาก  อีกทั้งบริเวณที่ฉันรอรถเมล์อยู่ก็เป็นหน้าโรงเรียนด้วย เด็ก ๆ กำลังเดินเท้า  และลงจากรถเมล์  เพื่อเดินเข้าไปในโรงเรียน  บางพวกก็กำลังข้ามถนน  ถ้าคนขับคิดสักนิดว่าหากเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนคนเดินถนนเข้า  จะเป็นอย่างไร ถนนเป็นของทุกคน  เป็นทรัพย์สินสาธารณะ  ซึ่งสร้างมาจากภาษีของประชาชนทุก ๆ คน  เพราะฉะนั้น  ทุกชีวิตมีสิทธิ์ที่จะใช้ถนนได้อย่างสะดวก  สบาย และปลอดภัยค่ะ  ผู้ใช้รถทั้งหลายกรุณามีน้ำใจกันสักนิด..เพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสุขค่ะ

วันพุธที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2553

"เงิน" สำคัญ (จริงหรือ?)

          "เงิน"  ใคร ๆ ก็รู้ว่าสำคัญมากในการดำรงชีวิต  ฉันก็คิดแช่นนั้นเหมือนกัน  และก็คงเหมือนกับคนอีกหลาย ๆ คนบนโลกนี้  ถ้าไม่มีเงิน  ก็ไม่มีชีวิตที่ดี  แต่จะมีใครสักกี่คน  ที่สามารถมีเงินซื้อทุก ๆ อย่างที่ตัวเองต้องการได้  ฉันเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า  "เงิน"  เป็นสิ่งสำคัญ  แต่ที่สำคัญยิ่งกว่า  "เงิน"  สำหรับฉันก็คือ  "เพื่อนรู้ใจ"  แล้วก็  "ความจริงใจ"  ไม่ว่าฉันจะมี  "เงิน"  มากมายขนาดไหน  (อย่าเข้าใจผิดนะคะ  ฉันไม่ได้มีเงินมากมายเลยซักกะติ๊ดนึง  555+)  ฉันก็ไม่สามารถซื้อ  "เพื่อนรู้ใจ"  และ  "ความจริงใจ"  ได้เลย  ทราบมั้ยคะว่าทั้ง  2  สิ่งนี้จะหามามีไว้ในครอบครองได้อย่างไร  ค่ะ  2  สิ่งนี้เราจะได้มาไว้ในครอบครองก็ต่อเมื่อ เรามีน้ำใจและความเสมอต้นเสมอปลายให้แก่กัน  ให้ความช่วยเหลือกัน  คอยประคับประคอง  ดูแล  เอาใจใส่  เป็นกำลังใจให้แก่กันและกัน  ยืนอยู่เคียงข้างกันและกันเมื่อมีทุกข์  มีอุปสรรค  คอยผลักดัน  ส่งเสริมให้พบเจอแต่สิ่งดี ๆ คอยส่งสายตาแสดงความยินดีให้แก่กันและกันเมื่อประสบความสำเร็จ  คอยซับน้ำตาให้กันและกันยามที่พ่ายแพ้  ไม่ว่าเราจะสุขหรือทุกข์คน ๆ นี้จะอยู่เคียงข้างเราเสมอ  ซึ่งสิ่งพวกนี้ที่ยกตัวอย่างมามันเป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก ๆ บางคนโชคดีมีเพื่อนรู้ใจหลายคน  ในขณะที่บางคนมีเพื่อนรู้ใจเพียงแค่คนเดียว  และในขณะเดียวกันที่คนอีกหลาย ๆ คนไม่เคยพบกับเพื่อนรู้ใจและความจริงใจเลยในชีวิต  ไม่ไว้ใจใคร  ไม่ยอมใคร  ฉันอยากถามเขาเหลือเกินว่าเค้ามีความสุขไหม  สำหรับฉันเงินเป็นสิ่งสำคัญก็จริง  แต่เพื่อนรู้ใจกับความจริงใจสำคัญกว่าค่ะ...ยืนยัน...ถึงแม้ว่าฉันจะไม่มีเงินมากมายล้นฟ้า...ถึงแม้ว่าฉันจะมีเพื่อนรู้ใจที่มากด้วยความจริงใจเพียงแค่ไม่กี่คน...สำหรับฉันแค่นี้ก็ทำให้ฉันมีความสุขมากมายแล้วค่ะ

วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ขอบคุณ...ความรักที่ผ่านพ้นไป

          ลองมานั่งนึกดูถึงความรักของฉันที่ผ่านมาเมื่อ 5 - 6 ปีที่แล้ว ลองคิดพิจารณาดูว่าสิ่งนั้นเรียกว่าความรักหรือเปล่าก็พบความจริงที่ว่ามันไม่ใช่ความรัก  ความรักคือการทำให้คนที่เรารักมีความสุข  สบายใจ มั่นใจ  เรียกว่าทำสิ่งดี ๆ ให้แก่คนที่เรารัก  แต่สำหรับฉันขณะนั้นมันควรจะเรียกว่าความหลงมากกว่า เพราะเค้าคนนั้นไม่เคยให้ความสบายใจ  ความสุข  เค้าไม่เคยทำให้ชีวิตฉันมีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นมาเลย ตรงกันข้าม  ฉันถูกดูถูกและเหยียดหยามจากคนรอบข้าง  ถูกนินทา ฯลฯ  แต่ฉันก็ยังเชื่อมั่นในเค้า คิดเสมอว่าเค้ามีเหตุผลที่สำคัญถึงไม่สามารถยอมรับฉันอย่างเปิดเผยได้  และเข้าข้างตัวเองว่าเค้ารักฉันน่าแต่เค้าไม่แสดงออก  รวมทั้งปลอบใจตัวเองด้วยคำว่าฉันทนได้ ฉันอยู่ได้ ทั้ง ๆ ที่ในใจฉันมันกร่อนหมดแล้วเค้าไม่เคยสนใจฉันเลย  ถ้าคนรอบข้างเค้าเดือดร้อนหรือไม่สบายใจ เค้าจะรีบไปถึงคน ๆ นั้นก่อนใคร  แต่ถ้าเป็นฉันจะบอกว่าเค้าถึงฉันเป็นคนสุดท้ายก็ไม่ใช่...เค้าไม่เคยมาถึงฉันเลยต่างหาก  ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วเค้าควรจะมาถึงฉัน  ให้ความช่วยเหลือฉันเป็นคนแรกซะด้วยซ้ำ  รวมทั้งรอยยิ้มที่เค้ามีให้กับทุก ๆ คนที่ผ่านมา  แต่สำหรับฉันบอกได้เลยว่าไม่มี  ที่สำคัญที่สุดคือคำพูดที่เค้าคัดสรรมาแล้วว่าดีที่สุดสำหรับเค้า  แต่มันเป็นคำพูดที่เชือดเฉือนและเลวร้ายที่สุดในชีวิตที่ฉันไม่คิดว่าเค้าจะพูดออกมาได้...จากวันนั้นถึงวันนี้  3  ปีแล้วที่ฉันหันหลังจากเค้ามา  ชีวิตฉันมีความสุขมากขึ้นอย่างมากมาย ทำอะไรได้อย่างที่ใจอยากทำ และไม่เดือดร้อนใคร ไม่ต้องคอยดูว่าเค้าจะเป็นอย่างไร  รู้สึกอย่างไร  มีความสุขไหมเหมือนเมื่อก่อน  ความเจ็บปวดในครั้งนั้นทำให้ฉันรู้สึกขอบคุณเค้าคนนั้นมาก  ขอบคุณความรักที่ผ่านพ้นไปที่ทำให้ฉันเข้มแข็งขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ  และขอบคุณที่ทำให้ฉันรู้ว่า...เจ็บแล้วจำคือ  คน  เจ็บแล้ว  ทน  คือควาย  ฉันอยากจะบอกเค้าคนนั้นว่าฉันไม่ใช่ควายอีกต่อไปแล้วล่ะ

เวลา

สิ่งที่คนทุกคน  ทุกระดับชั้นมีเท่ากันคือ  เวลา  ที่มี  24  ชั่วโมงเท่ากันทุกคน  ไม่มีใครที่มีเวลาเกินหรือน้อยกว่า  24  ชั่วโมง  ขึ้นอยู่กับว่า  เวลา  ที่ผ่านไปแต่ละวินาทีนั้น  คุณใช้มันคุ้มค่าแค่ไหน  คุณใช้เวลานั้นเพื่อใคร  เพื่อตัวคุณเอง  เพื่อคนที่คุณรัก  เพื่อคนรอบข้าง  เพื่อสังคม  วันนี้  คุณทำความดีแล้วหรือยัง...คุณทำให้คนรอบข้างของคุณมีรอยยิ้มหรือยัง...ถ้าคุณยังไม่ได้ทำ  ยังไม่สายเกินไปที่คุณจะทำมัน  เพราะหากหมดเวลา  คุณจะไม่สามารถย้อนกลับมาทำสิ่งเหล่านี้ได้อีกแล้ว