เมื่อวันหยุดยาวที่ผ่านมา (23 - 25 ตุลาคม 2553) ฉันมีโอกาสไปเที่ยวกับครอบครัวของพี่ชาย และเพื่อนที่ทำงานของพี่ชายอีก 2 ครอบครัว เราไปทะเลกัน ทะเลสวย บรรยากาศดี ถึงแม้ว่าจะมีฝนตกลงมาบ้างเป็นบางครั้ง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความสนุกของเราลดลง โดยเฉพาะเด็ก ๆ งานนี้เรามีเด็กร่วมทางไปด้วย แบ่งเป็นเด็กเล็ก 4 คน (ยังไม่เข้าโรงเรียนจนถึง ป. 5) แล้วก็เด็กโต (ม.1 - ม.4) 3 คน เด็กเล็ก ๆ 4 คนยังพอเข้าใจค่ะว่าช่วยเหลือตัวเองไม่ได้มากเท่าไร ยังต้องอาศัยพ่อกับแม่ และบุคคลรอบข้างช่วยเหลือในหลาย ๆ เรื่อง แต่พวกเค้าก็พยายามจะช่วยเหลือตัวเองพอสมควร เช่น กินข้าวเอง อาบน้ำเอง ทาแป้งเอง ถึงแม้ว่าจะดูเลอะเทอะ และวุ่นวายกันอยู่พอสมควร แต่ก็สนุกดีค่ะ ส่วนเด็กโต ๆ อีก 3 คนนี่ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่นัก เพราะว่าไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกิน การจัดเสื้อผ้าแต่งตัว การขนของกินและเสื้อผ้า หรือแม้แต่การบีบและถือแปรงสีฟันเข้าห้องน้ำไปแปรงฟันยังต้องให้พ่อและแม่จัดการให้อยู่ ฉันเห็นแล้วก็เลย งง ๆ เพราะว่าเด็กเล็ก ๆ 4 คนนั้น พยายามที่จะแปรงฟันเอง (ถึงแม้ว่าจะไม่สะอาดเท่าที่ควร แต่ก็ไม่เป็นไร หลังจากที่เค้าแปรงแล้วเราก็จับเค้ามาอ้าปากแปรงใหม่ก็ได้) แต่เด็กโต 3 คนนั่นทำไมต้องให้แม่เป็นคนทำให้ แม่ช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ จัดเสื้อผ้าให้ ต้มน้ำร้อนลวกมาม่ากระป๋อง หรือโจ๊กกระป๋องให้ ลวกไส้กรอก แฮม รินน้ำให้ ยกมาให้กิน เหลืออยู่อย่างเดียวและค่ะเพื่อน ๆ ก็คือเคี้ยวให้ การเลี้ยงลูกในสมัยนี้ทำให้ลูกกลายเป็นลูกเทวดาเหมือนที่เพลงเค้าร้องจริง ๆ ค่ะ เด็กไม่ค่อยได้ช่วยเหลือตัวเองในสิ่งที่ควรจะทำได้ ทำเป็น พ่อแม่อำนวยความสะดวกให้ลูกมากจนเกินพอดี อยากได้อะไรก็ต้องตะกายหามาให้ เด็กไม่รู้จักคำว่า ไม่ได้ ไม่ค่อยเข้าใจกับคำว่า เหตุผล แล้วอย่างนี้อนาคตของเค้าจะเป็นยังไงต่อไปก็ไม่มีใครรู้ พ่อแม่ควรหัดให้ลูกรู้จักการช่วยเหลือตัวเองบ้างตามสมควร ต้องสอนให้ลูกรู้จักคำว่าผิดหวัง และปลูกฝังให้ลูกเป็นคนมีเหตุผล รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเราบ้าง ไม่ใช่ฉันชอบอย่างนี้ ฉันจะเปิดทีวีเสียงดังใครจะทำไม ยิ่งพ่อแม่ท่านใดที่ทำงาน มีหน้าที่เป็นหัวหน้า เป็นผู้บริหาร ยิ่งต้องรู้จักสอนให้ลูกเป็นคนที่เกรงใจคนตามความเหมาะสม รู้จักเข้าสังคม ให้ความช่วยเหลือผู้อื่นเท่าที่จะทำได้ ไม่ใช่ว่าลูกน้องของตัวก็ต้องเอาใจและตามใจลูกของหัวหน้าหรือผู้บริหารทุกอย่าง นั่นจะทำให้เด็กเป็นคนที่หัวสูง ไม่เห็นใจคนอื่น ไม่มีน้ำใจ และขาดคุณสมบัติที่ดีของการอยู่ร่วมกันในสังคมค่ะ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะสร้างครอบครัวให้เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข...
วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2553
วันเสาร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2553
ความสุข ความทุกข์
สิ่งมีชีวิตทุกสิ่งบนโลกใบนี้ย่อมต้องการเสาะแสวงหาความสุขให้กับตนเองทั้งสิ้น บ่อยครั้งที่ความสุขที่ตนเองต้องการก็มักจะไปทำลายความสุขของผู้อื่นอยู่เสมอ นั่นคือการเบียดเบียนกัน ทำร้ายกัน เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ตนเองต้องการ เคยคิดกันบ้างไหมคะว่าการที่เราได้ความสุขมาโดยวิธีนั้นมันเป็นความสุขที่แท้จริงหรือเปล่า ความสุขที่ได้มามันจีรังยั่งยืนตลอดไปมั้ย ไม่มีใครเคยคิดถึงข้อนี้เลย ขอแค่มีความสุขทุกวัน และทั้งวันก็พอแล้ว การที่เรารู้สึกว่าเวลาแห่งความสุขสั้นนักไม่เหมือนเวลาแห่งความทุกข์ที่มันช่างยาวนานเหลือเกินนั่นก็เพราะว่าเมื่อเรามีความสุขเราก็จะเพลิดเพลินกับความสุขนั้น จนทำให้ลืมเวลา ลืมคนรอบข้าง ไม่คิดสิ่งใดทั้งสิ้นนอกจากสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข แต่เมื่อเรามีความทุกข์ เราก็จะจมอยู่กับสิ่งที่เราทุกข์ ขบคิด หาทางแก้และดับทุกข์อยู่ตลอดเวลา ทำให้ทุกข์อยู่กับเรานาน จริง ๆ แล้วใน 1 วัน เรามีทั้งสุขและทุกข์คละเคล้ากันไป ไม่มีใครที่สุขทั้งปี และไม่มีใครที่ทุกข์ทั้งชาติ นั่นคือรสชาดของชีวิต เราต้องยอมรับในสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น และผ่านเข้ามาในชีวิตอย่างมีสติ และอย่าปล่อยให้อารมณ์สุข อารมณ์ทุกข์เข้ามาเป็นนายจิตใจเรา จงใช้ชีวิตอย่างรู้เท่าทันอารมณ์ค่ะ แล้วคุณจะเห็นมุมมองที่หลากหลายในชีวิตเพิ่มขึ้น.....
วันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2553
ข้าราชการ
ในสมัยอดีต ถ้าบ้านไหนมีบุตรหลานประกอบอาชีพรับราชการแล้วล่ะก็ เป็นสิ่งที่เชิดหน้าชูตาและเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลนั้น ๆ เป็นอย่างยิ่ง นั่นหมายถึงความมีอำนาจและทรัพย์สินเงินทอง รวมทั้งข้าทาสบริวารมากมาย ในปัจจุบันก็เช่นกัน หลาย ๆ ครอบครัวยังสนับสนุนให้บุตรหลานรับราชการเพื่อความมั่นคง ใช้ทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้ได้รับราชการ เช่น ใช้เงินฝากเข้าทำงานราชการ ใช้ระบบเส้นสาย การสอบเป็นเพียงแค่ฉากบังหน้า ไม่ว่าคุณจะสอบข้อเขียนฝ่านได้ลำดับที่ดีแค่ไหน หากคุณไม่มีเงินมากพอคุณก็ไม่สามารถเป็นข้าราชการได้ ตรงกันข้าม ถ้าคุณสอบข้อเขียนได้ลำดับที่แย่มาก ๆ แต่ถ้าคุณมีเงินคุณก็สามารถเป็นข้าราชการได้ทันที ข้าราชการในสมัยนี้หลาย ๆ คนที่ยังปฏิบัติตัวแบบเช้าชามเย็นชาม เช่นข้าราชการคนหนึ่งที่ฉันจะยกตัวอย่างให้เพื่อน ๆ ทราบเค้ามาทำงาน 09.00 น. 10.00 น. ต้องไปซื้ออาหารเช้าทาน 11.00 น. ต้องไปตักบาตร ทำบุญ เนื่องมาจากหากไม่ทำเป็นประจำแล้วไซร้ ดวงในการเสี่ยงโชคก็จะไม่ดีตามไปด้วย จากนั้นก็ถือโอกาสพักเที่ยงซะเลย กลับเข้ามาทำงานอีกทีตอนบ่ายสองโมง จากนั้นบ่ายสามโมงก็เพลียมาจากการทำงานทั้งวัน ต้องนอนพักผ่อน พอ 16.00 น. ก็ตื่นขึ้นมาพอดีกับเตรียมตัวกลับบ้าน เก็บของเสร็จก็ไปเลย อันนี้ช่วงเวลาที่โรงเรียนปิดนะคะ ถ้าเป็นเวลาที่เปิดเรียนหรือเปิดเทอมแล้วล่ะก็ จะต้องไปนวดแผนโบราณที่โรงพยาบาลด้วยค่ะ กลับเข้ามาอีกทีก็ตอน 17.45 น. เพื่อที่จะเก็บของแล้วก็เตรียมเซ็นชื่อทำงานภาคธุรการ ตอน 18.30 น. แล้วก็กลับบ้าน (เวลาที่โรงเรียนเปิดจะเลิกงานตอน 18.30 น. ค่ะ ช่วงเวลาธุรการจะได้รับค่าล่วงเวลาคนละ 100 บาท) เป็นไงคะ ข้าราชการ ฉันยอมรับว่าข้าราชการไทยทุกคนไม่ได้เป็นแบบนี้ แต่ก็มีข้าราชการจำนวนไม่น้อยที่เป็นแบบนี้ค่ะ แล้วประเทศไทยจะเอาอะไรมาเจริญได้คะ ก็คุณภาพของข้าราชการเป็นแบบนี้ซะส่วนมาก เด็ก ๆ จะมีคุณภาพได้อย่างไรถ้าข้าราชการครูที่ต้องสอนพวกเขาให้มีความรู้ต้องละทิ้งเด็ก ๆ เพื่อมาทำผลงานให้ตัวเองผ่านการประเมินระดับนั้น ๆ แล้วก็ได้เงินประจำตำแหน่งเพิ่มเพื่อให้พอกับการชำระหนี้สินและรายจ่ายประจำของตนเอง ผู้บริหารโกงกินเงินหลวง ฉ้อราษฏร์บังหลวง ใช้อำนาจในทางที่ผิด สังคมของเราจะต้องเป็นแบบนี้อีกนานเท่าไหร่กันนะ...แต่ที่แน่ ๆ ฉันเริ่มไม่ศรัทธาในวงการข้าราชการเสียแล้วสิ เพื่อน ๆ ล่ะคะ คิดเช่นไร
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)