วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2553

การเลี้ยงดูลูก

          เมื่อวันหยุดยาวที่ผ่านมา (23 - 25 ตุลาคม 2553)  ฉันมีโอกาสไปเที่ยวกับครอบครัวของพี่ชาย  และเพื่อนที่ทำงานของพี่ชายอีก  2  ครอบครัว  เราไปทะเลกัน  ทะเลสวย  บรรยากาศดี  ถึงแม้ว่าจะมีฝนตกลงมาบ้างเป็นบางครั้ง  แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความสนุกของเราลดลง  โดยเฉพาะเด็ก ๆ งานนี้เรามีเด็กร่วมทางไปด้วย  แบ่งเป็นเด็กเล็ก 4 คน (ยังไม่เข้าโรงเรียนจนถึง ป. 5)  แล้วก็เด็กโต (ม.1 - ม.4) 3 คน  เด็กเล็ก ๆ 4 คนยังพอเข้าใจค่ะว่าช่วยเหลือตัวเองไม่ได้มากเท่าไร  ยังต้องอาศัยพ่อกับแม่  และบุคคลรอบข้างช่วยเหลือในหลาย ๆ เรื่อง  แต่พวกเค้าก็พยายามจะช่วยเหลือตัวเองพอสมควร  เช่น กินข้าวเอง  อาบน้ำเอง  ทาแป้งเอง  ถึงแม้ว่าจะดูเลอะเทอะ  และวุ่นวายกันอยู่พอสมควร  แต่ก็สนุกดีค่ะ  ส่วนเด็กโต ๆ อีก 3 คนนี่ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่นัก เพราะว่าไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกิน  การจัดเสื้อผ้าแต่งตัว  การขนของกินและเสื้อผ้า  หรือแม้แต่การบีบและถือแปรงสีฟันเข้าห้องน้ำไปแปรงฟันยังต้องให้พ่อและแม่จัดการให้อยู่  ฉันเห็นแล้วก็เลย งง ๆ เพราะว่าเด็กเล็ก ๆ 4 คนนั้น พยายามที่จะแปรงฟันเอง (ถึงแม้ว่าจะไม่สะอาดเท่าที่ควร  แต่ก็ไม่เป็นไร  หลังจากที่เค้าแปรงแล้วเราก็จับเค้ามาอ้าปากแปรงใหม่ก็ได้)  แต่เด็กโต 3 คนนั่นทำไมต้องให้แม่เป็นคนทำให้  แม่ช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้  จัดเสื้อผ้าให้  ต้มน้ำร้อนลวกมาม่ากระป๋อง  หรือโจ๊กกระป๋องให้  ลวกไส้กรอก  แฮม  รินน้ำให้  ยกมาให้กิน  เหลืออยู่อย่างเดียวและค่ะเพื่อน ๆ ก็คือเคี้ยวให้  การเลี้ยงลูกในสมัยนี้ทำให้ลูกกลายเป็นลูกเทวดาเหมือนที่เพลงเค้าร้องจริง ๆ ค่ะ  เด็กไม่ค่อยได้ช่วยเหลือตัวเองในสิ่งที่ควรจะทำได้  ทำเป็น  พ่อแม่อำนวยความสะดวกให้ลูกมากจนเกินพอดี  อยากได้อะไรก็ต้องตะกายหามาให้  เด็กไม่รู้จักคำว่า  ไม่ได้  ไม่ค่อยเข้าใจกับคำว่า  เหตุผล  แล้วอย่างนี้อนาคตของเค้าจะเป็นยังไงต่อไปก็ไม่มีใครรู้  พ่อแม่ควรหัดให้ลูกรู้จักการช่วยเหลือตัวเองบ้างตามสมควร  ต้องสอนให้ลูกรู้จักคำว่าผิดหวัง  และปลูกฝังให้ลูกเป็นคนมีเหตุผล  รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเราบ้าง  ไม่ใช่ฉันชอบอย่างนี้  ฉันจะเปิดทีวีเสียงดังใครจะทำไม  ยิ่งพ่อแม่ท่านใดที่ทำงาน  มีหน้าที่เป็นหัวหน้า  เป็นผู้บริหาร  ยิ่งต้องรู้จักสอนให้ลูกเป็นคนที่เกรงใจคนตามความเหมาะสม  รู้จักเข้าสังคม  ให้ความช่วยเหลือผู้อื่นเท่าที่จะทำได้  ไม่ใช่ว่าลูกน้องของตัวก็ต้องเอาใจและตามใจลูกของหัวหน้าหรือผู้บริหารทุกอย่าง  นั่นจะทำให้เด็กเป็นคนที่หัวสูง  ไม่เห็นใจคนอื่น  ไม่มีน้ำใจ  และขาดคุณสมบัติที่ดีของการอยู่ร่วมกันในสังคมค่ะ  ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะสร้างครอบครัวให้เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข...

วันเสาร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ความสุข ความทุกข์

          สิ่งมีชีวิตทุกสิ่งบนโลกใบนี้ย่อมต้องการเสาะแสวงหาความสุขให้กับตนเองทั้งสิ้น  บ่อยครั้งที่ความสุขที่ตนเองต้องการก็มักจะไปทำลายความสุขของผู้อื่นอยู่เสมอ  นั่นคือการเบียดเบียนกัน  ทำร้ายกัน  เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ตนเองต้องการ  เคยคิดกันบ้างไหมคะว่าการที่เราได้ความสุขมาโดยวิธีนั้นมันเป็นความสุขที่แท้จริงหรือเปล่า  ความสุขที่ได้มามันจีรังยั่งยืนตลอดไปมั้ย  ไม่มีใครเคยคิดถึงข้อนี้เลย  ขอแค่มีความสุขทุกวัน  และทั้งวันก็พอแล้ว  การที่เรารู้สึกว่าเวลาแห่งความสุขสั้นนักไม่เหมือนเวลาแห่งความทุกข์ที่มันช่างยาวนานเหลือเกินนั่นก็เพราะว่าเมื่อเรามีความสุขเราก็จะเพลิดเพลินกับความสุขนั้น  จนทำให้ลืมเวลา  ลืมคนรอบข้าง  ไม่คิดสิ่งใดทั้งสิ้นนอกจากสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข  แต่เมื่อเรามีความทุกข์  เราก็จะจมอยู่กับสิ่งที่เราทุกข์  ขบคิด  หาทางแก้และดับทุกข์อยู่ตลอดเวลา  ทำให้ทุกข์อยู่กับเรานาน  จริง ๆ แล้วใน 1 วัน เรามีทั้งสุขและทุกข์คละเคล้ากันไป  ไม่มีใครที่สุขทั้งปี  และไม่มีใครที่ทุกข์ทั้งชาติ  นั่นคือรสชาดของชีวิต เราต้องยอมรับในสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น  และผ่านเข้ามาในชีวิตอย่างมีสติ  และอย่าปล่อยให้อารมณ์สุข  อารมณ์ทุกข์เข้ามาเป็นนายจิตใจเรา  จงใช้ชีวิตอย่างรู้เท่าทันอารมณ์ค่ะ  แล้วคุณจะเห็นมุมมองที่หลากหลายในชีวิตเพิ่มขึ้น.....

วันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ข้าราชการ

     ในสมัยอดีต ถ้าบ้านไหนมีบุตรหลานประกอบอาชีพรับราชการแล้วล่ะก็  เป็นสิ่งที่เชิดหน้าชูตาและเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลนั้น ๆ เป็นอย่างยิ่ง  นั่นหมายถึงความมีอำนาจและทรัพย์สินเงินทอง  รวมทั้งข้าทาสบริวารมากมาย  ในปัจจุบันก็เช่นกัน  หลาย ๆ ครอบครัวยังสนับสนุนให้บุตรหลานรับราชการเพื่อความมั่นคง  ใช้ทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้ได้รับราชการ เช่น  ใช้เงินฝากเข้าทำงานราชการ  ใช้ระบบเส้นสาย  การสอบเป็นเพียงแค่ฉากบังหน้า  ไม่ว่าคุณจะสอบข้อเขียนฝ่านได้ลำดับที่ดีแค่ไหน  หากคุณไม่มีเงินมากพอคุณก็ไม่สามารถเป็นข้าราชการได้  ตรงกันข้าม ถ้าคุณสอบข้อเขียนได้ลำดับที่แย่มาก ๆ แต่ถ้าคุณมีเงินคุณก็สามารถเป็นข้าราชการได้ทันที ข้าราชการในสมัยนี้หลาย ๆ คนที่ยังปฏิบัติตัวแบบเช้าชามเย็นชาม  เช่นข้าราชการคนหนึ่งที่ฉันจะยกตัวอย่างให้เพื่อน ๆ ทราบเค้ามาทำงาน 09.00 น.  10.00 น. ต้องไปซื้ออาหารเช้าทาน  11.00 น.  ต้องไปตักบาตร  ทำบุญ  เนื่องมาจากหากไม่ทำเป็นประจำแล้วไซร้ ดวงในการเสี่ยงโชคก็จะไม่ดีตามไปด้วย  จากนั้นก็ถือโอกาสพักเที่ยงซะเลย   กลับเข้ามาทำงานอีกทีตอนบ่ายสองโมง  จากนั้นบ่ายสามโมงก็เพลียมาจากการทำงานทั้งวัน  ต้องนอนพักผ่อน  พอ 16.00 น.  ก็ตื่นขึ้นมาพอดีกับเตรียมตัวกลับบ้าน  เก็บของเสร็จก็ไปเลย  อันนี้ช่วงเวลาที่โรงเรียนปิดนะคะ   ถ้าเป็นเวลาที่เปิดเรียนหรือเปิดเทอมแล้วล่ะก็ จะต้องไปนวดแผนโบราณที่โรงพยาบาลด้วยค่ะ  กลับเข้ามาอีกทีก็ตอน 17.45 น.  เพื่อที่จะเก็บของแล้วก็เตรียมเซ็นชื่อทำงานภาคธุรการ ตอน 18.30 น.  แล้วก็กลับบ้าน (เวลาที่โรงเรียนเปิดจะเลิกงานตอน 18.30 น. ค่ะ  ช่วงเวลาธุรการจะได้รับค่าล่วงเวลาคนละ 100 บาท)  เป็นไงคะ        ข้าราชการ  ฉันยอมรับว่าข้าราชการไทยทุกคนไม่ได้เป็นแบบนี้  แต่ก็มีข้าราชการจำนวนไม่น้อยที่เป็นแบบนี้ค่ะ  แล้วประเทศไทยจะเอาอะไรมาเจริญได้คะ  ก็คุณภาพของข้าราชการเป็นแบบนี้ซะส่วนมาก เด็ก ๆ จะมีคุณภาพได้อย่างไรถ้าข้าราชการครูที่ต้องสอนพวกเขาให้มีความรู้ต้องละทิ้งเด็ก ๆ เพื่อมาทำผลงานให้ตัวเองผ่านการประเมินระดับนั้น ๆ แล้วก็ได้เงินประจำตำแหน่งเพิ่มเพื่อให้พอกับการชำระหนี้สินและรายจ่ายประจำของตนเอง    ผู้บริหารโกงกินเงินหลวง  ฉ้อราษฏร์บังหลวง  ใช้อำนาจในทางที่ผิด  สังคมของเราจะต้องเป็นแบบนี้อีกนานเท่าไหร่กันนะ...แต่ที่แน่ ๆ ฉันเริ่มไม่ศรัทธาในวงการข้าราชการเสียแล้วสิ  เพื่อน ๆ ล่ะคะ  คิดเช่นไร